ถวายอาหารพระพุทธเจ้าภาคสรุป


ในการตอบปัญหาเรื่อง การถวายเครื่องไทยธรรมให้กับพระพุทธเจ้า ตามที่มีผู้ถามในการอบรมพระประจำปีของวัดหลวงพ่อสดฯ นั้น  หลวงป๋าแบ่งคำตอบออกเป็น 3 ประเด็นหลัก 

ผมได้อธิบายโต้แย้งไปแล้วครบทั้ง 3 ประเด็น บทความนี้ จะกล่าวถึงข้อสรุปคำตอบของหลวงป๋า

หลวงป๋าได้สรุปคำตอบไว้ 5 ประการ ดังนี้

แต่ถ้าใครอยากทำ ก็ไม่มีใครเขาห้าม และก็เป็นความดีส่วนหนึ่ง เพียงแต่ความจริงมีอยู่ว่า

1- ไม่ถึงพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานที่แท้จริง

ความรู้ของที่หลวงป๋าที่นำมาเป็นหลักฐานสนับสนุนว่า “เครื่องไทยทานไม่ถึงพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานที่แท้จริง” นั้น ไม่ได้ใช้จากวิชาธรรมกายเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมาก

เพราะ หนังสือคู่มือสมภาร, มรรคผล 1, รวมถึงมรรคผล 2 หลวงป๋าเป็นผู้ริเริ่มและเป็นตัวตั้งตัวตีในการรวบรวมและจัดพิมพ์ขึ้นมา

นั่นก็แสดงว่า “หลวงป๋าไม่เข้าใจวิชาธรรมกายชั้นสูง” จึงไม่ได้เอามาใช้มาเป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้

หลวงป๋าอ้างแต่เพียงว่า ในอายตนะนิพพานเป็น “อสังขตธาตุ-อสังขตธรรม” ส่วนในภพ 3 นี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็น “สังขตธาตุ-สังขตธรรม”

ของในภพ 3 จึงไม่สามารถเข้าไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้

ตรงนี้ หลวงป๋าทิ้งความจริงพื้นฐานไปว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในอายตนะนิพพานนั้น เป็นของจากภพ 3 ทั้งสิ้น

ดังนั้น ของในภพ 3 จึงสามารถเข้าไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้ แต่ต้องเปลี่ยนสภาพไป คือ ละเอียดมากขึ้น จนปัจจัยปรุงแต่งไม่มี

ขอยกตัวอย่างง่ายๆ จากสิ่งที่เราเคยพบเคยเห็นกันเป็นประจำ คือ วัฏจักรของน้ำ ตามภาพด้านบน

ถ้าเราถามนักเรียนว่า น้ำตามลำคลอง หนอง บึง ทะเลต่างๆ นั้น  สามารถจะลอยไปอยู่บนฟ้าได้หรือไม่?

ตรงนี้เพื่อให้คำตอบตรงกัน เราต้องไปถามเด็กเล็กๆ หน่อย ซึ่งยังไม่รู้เรื่องการระเหยของน้ำจนเป็นเมฆ

เด็กทุกคนจะตอบว่า “ไม่ได้” ก็น้ำมีน้ำหนัก ที่ต้องใส่ภาชนะถึงจะอยู่ได้ อยู่ดีๆ น้ำจะไปอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างไร

เราอาจจะสาธิตง่ายๆ ก็คือ  สาดน้ำขึ้นไปบนอากาศให้เห็นกันจะจะ  น้ำก็จะตกลงมาทุกครั้ง ไม่มีน้ำในส่วนไหนที่จะลอยอยู่บนอากาศได้

แต่ในความเป็นจริงเรารู้ว่า น้ำสามารถอยู่บนฟ้าได้ เมื่อเปลี่ยนสภาพเป็น “ไอ” แล้ว

กรณีของ “สิ่ง” ที่อยู่ในอายตนะนิพพานก็เช่นเดียวกัน ก็คือ “สิ่ง” ในภพ 3 นี่แหละ  ดังนั้น “สิ่ง” ที่อยู่ในภพ 3 ต้องขึ้นไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้ โดยต้องมีการเปลี่ยนสภาพจาก

“สังขตธาตุ-สังขตธรรม”  เป็น “อสังขตธาตุ-อสังขตธรรม”

การที่หลวงป๋าปฏิเสธอย่างเดียวว่า ของในภพ 3 ไม่มีทางขึ้นไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้ เพราะประเด็นเรื่อง “สังขตธาตุ-สังขตธรรม” “อสังขตธาตุ-อสังขตธรรม” อย่างที่กล่าวไปแล้ว จึงเป็นการปฏิเสธที่ละเลย “สาระสำคัญ” เป็นอย่างยิ่ง

ตรงนี้ ต้องขอบอกก่อนว่า การตอบปัญหาดังกล่าว หลวงป๋าเน้นไปที่ “มีคนทำวิชากลั่นเครื่องไทยทาน” เท่านั้น  

เพราะหลวงป๋ายอมรับว่า บุญ-บารมีที่กลั่นตัวจนแก่กล้าแล้ว สามารถขึ้นไปหล่อเลี้ยงกายธรรมในอายตนะนิพพานได้  ดังข้อความนี้

จึงขอเจริญพรเพื่อทราบว่า สิ่งที่หล่อเลี้ยงธรรมกายจากสุดหยาบไปจนถึงพระนิพพานที่สุดละเอียดในอายตนะนิพพานถอดกายและอายตนะนิพพานเป็นนั้น 

มิใช่เครื่องไทยทานอันเป็นอามิสทานของหยาบ ซึ่งจัดเป็นสังขารธรรม (สังขตธาตุ สังขตธรรม) แต่ประการใด

หากแต่เป็น “บุญ” ซึ่งได้กลั่นตัวจนแก่กล้าแล้ว เป็นบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ (ในการปกครองธาตุธรรม) สิทธิ สิทธิเฉียบขาด ฯลฯ

จะเห็นว่า หลวงป๋าละเลยสาระสำคัญไปจริง อาจจะเป็นเพราะว่า “ความไม่เชื่อ” ว่าจะมีใครทำวิชาธรรมกายในระดับกลั่นอาหารไปถวายพระพุทธเจ้าได้ มาบดบังวิจารณญาณไปเสียหมด

ก็บุญบารมีต่างๆ นั้น เราต้องสร้างในโลกมนุษย์นี้เท่านั้น โลกมนุษย์นี้หยาบกว่าสวรรค์ รูปพรหม อรูปพรหมเสียอีก 

ประการสำคัญสุดๆ ก็คือ  เรื่องกายของเราเองนี่แหละ  พระนิพพานในอายตนะนิพพานนั้น ก็เป็นวิวัฒนาการไปจากกายเนื้อของเราทั้งนั้น

การเข้าใจผิดที่น่ากลัวมาก สำหรับหลวงป๋าก็คือ  หลวงป๋าบอกว่า กายมนุษย์ทั้งหมดเป็นสังขตธาตุ-สังขตธรรม จึงไม่สามารถกลั่นเครื่องไทยทานให้ไปถึงอายตนะนิพานได้

เพราะ ตำราของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่หลวงป๋าเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดพิมพ์ขึ้นมาเองนั้น ยกตัวอย่างเช่น เรื่องสิทธิและอำนาจในหนังสือมรรคผลพิสดาร 2

ยืนยันไว้อย่างชัดเจนว่า  ในการทำวิชาปราบมารนั้น  เมื่อมีคนทำวิชา ธาตุธรรมทั้งหมดก็จะมาซ้อนอยู่ในกายมนุษย์พิเศษของบุคคลคนนั้น แล้วก็ปราบมารไป

ดังนั้น ในการทำวิชาธรรมกายชั้นสูงนั้น  ไม่มีใครคนไหนทำด้วยตัวคนเดียวแบบโดดเดี่ยว แต่จะมีธาตุธรรมมาซ้อนในกายทุกครั้ง

ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงสามารถฟันธงได้ว่า  “หลวงป๋าไม่เข้าใจวิชาธรรมกายชั้นสูง”

คำตอบสรุปข้อที่ 2

2- ไม่ใช่จะได้บุญใหญ่มหาศาลเช่นนั้น

การที่หลวงป๋ายืนยันว่า การถวายเครื่องไทยทานให้กับพระพุทธเจ้าได้บุญธรรมดา ไม่ยิ่งใหญ่อะไรอย่างที่วัดพระธรรมกายโฆษณาชวนเชื่อออกมา เพราะ หลวงป๋าเชื่อว่า ไม่มีใครทำวิชาถวายอาหารให้พระพุทธเจ้าได้

อย่างไรหลวงป๋าเชื่อเรื่องการได้บุญมหาศาลแบบทันตาเห็นจากการทำบุญกับพระพุทธเจ้าและพระอรหัตน์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ  ดังข้อความด้านล่างนี้

มีปรากฏหลักฐานเอกสารในที่มากแห่ง ในพระไตรปิฎกว่า บุคคลผู้ทำบุญด้วยใจศรัทธากับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพผู้มีอาสวะกิเลสสิ้นแล้ว

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ท่านเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ นั้น ได้รับผลบุญในปัจจุบันทันตาเห็นมากมาย

ดังนั้น ถ้ามีหลักฐานยืนยันได้ว่า มีคนสามารถทำวิชาถวายอาหารพระพุทธเจ้าได้จริง ก็ต้องได้บุญบารมีมหาศาลจริง

ในกรณีของคุณลุงการุณย์ บุญมานุชนั้น ธาตุธรรมท่านใช้ให้ “ปราบมาร” โดยให้ลุงเป็นฐานทัพ  เมื่อไหร่คุณลุงการุณย์เดินวิชา ธาตุธรรมทั้งหมดก็จะมาซ้อนอยู่ในกายของคุณลุง แล้วช่วยกันปราบมาร

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างนิพพานกับภพสามนั้น ควบคุมดูแลอยู่ตลอด

ด้วยบารมีดังกล่าว

คุณลุงการุณย์จึงสามารถกลั่นอาหาร กลั่นจีวรไปถวายธาตุธรรม หรือพระนิพพานในอายตนะนิพพานได้

อย่างไรก็ดี  การถวายอาหารของคุณลุงการุณย์นั้น เป็นกรณียกเว้น ไม่มีใครทำได้อีกแล้ว

คำตอบสรุปข้อที่ 3

3- ถ้าทำไปเพราะหลงเข้าใจผิดจะได้ “โมหะ” เป็นบาปอกุศลแถมติดตัวติดใจไปด้วยตามส่วน

คำตอบสรุปข้อนี้ของหลวงป๋า คงจะมุ่งไปที่การกระทำของสมีธัมมชโยโดยเฉพาะ

การถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้านั้น  พุทธศาสนิกชนทำกันทั่วประเทศไทยนะครับ ที่เราเรียกว่า “ถวายข้าวพระพุทธ” นั่นแหละ

ในการทำบุญทุกครั้ง จะต้องมีการถวายข้าวพระพุทธทุกครั้ง  หลวงป๋าก็ยืนยันไปแล้วว่า ได้บุญคล้ายกับการระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น  ดังข้อความนี้

อานิสงส์ของผู้ไปร่วมถวายเครื่องไทยทานแด่พระพุทธเจ้าเช่นนั้น

มีคล้ายๆ กับการถวายข้าวพระพุทธหรือบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ธูปเทียนธรรมดา  ในฐานะของผู้ที่ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าโดยทั่วไป

คำตอบสรุปข้อที่ 4-5

4- ใจ “หยุด” ใจ “นิ่ง” ที่ตรงศูนย์กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของกาย ทุกกาย สุดหยาบสุดละเอียด ซึ่งตรงกับศูนย์กลางของพระนิพพาน และอายตนะนิพพานนั้นแหละที่เป็นบุญใหญ่ กุศลใหญ่จริงๆ

5- การทำมรรคให้เจริญ และทำนิโรธให้แจ้งอยู่เสมอ (เท่าที่จะทำได้) นั้นแหละ ที่ดับ “สมุทัย”  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อวิชชา ซึ่งเป็นเหตุแห่งสังขาร-วิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ-ชรา-มรณะ-ทุกข์ได้จริง

และจะสามารถเข้าถึงธาตุล้วน ธรรมล้วน (อสังขตธาตุ อสังขตธรรม) ของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมที่บริสุทธิ์ที่สุดได้ และให้สามารถรู้ว่าอะไรคือ ของปลอมของจริงตามที่เป็นจริงได้แล

คำตอบสรุปในข้อ 4-5 นี้  ผมคิดว่า หลวงป๋าคงจะพยายามเตือนว่า อย่าไปหลงเชื่อเรื่องการถวายเครื่องไทยทาน หรือถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้า

เนื้อหาคำตอบของข้อ 4-5 นั้น “ถูกต้อง” ตามหลักทฤษฎีจริง  แต่ในทางปฏิบัตินั้น ถ้ามีการถวายอาหารที่ถึงพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพานจริง 

เราก็ควรจะไปร่วมพิธีดังกล่าวด้วย จะไม่ดีกว่าหรือ….

ตามหลักการนั้น ไม่มีใครที่ “ไม่เคยทำทาน”, “ไม่เคยรักษาศีล” อยู่ดีๆ ก็มาปฏิบัติธรรมเลย  ทุกคนจะต้องเริ่มมาจาก “ทาน”, “ศีล” แล้วจึงมา “ภาวนา” ได้

ดังนั้น การทำวิชาเราก็ทำไป ทำให้ใจหยุด ใจนิ่งก็ทำไป เมื่อมีโอกาสที่จะถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้า เราก็ควรจะไป

ในการถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้านั้น  ในระหว่างที่ลุงกำลังทำวิชาอยู่นั้น ผู้ไปร่วมพิธีทุกคนก็ต้องทำวิชา 18 กายไปด้วย

การถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้าจึงเป็นการสร้างบารมีที่ครบถ้วนจริง  และสามารถสร้างบารมีให้ครบ 30 ทัศภายในชาตินี้ได้

ชาติต่อไปของเราก็คือ พระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าเลย  ไม่ต้องลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีอีกแล้ว เพราะ บารมีเต็มแล้ว






หลวงพ่อฯ ไม่เคยถวายอาหารพระพุทธเจ้า


  

ในการตอบปัญหาเรื่อง การถวายเครื่องไทยธรรมให้กับพระพุทธเจ้า ตามที่มีผู้ถามในการอบรมพระประจำปีของวัดหลวงพ่อสดฯ นั้น  หลวงป๋าแบ่งคำตอบออกเป็น 3 ประเด็นหลัก 

ผมได้อธิบายโต้แย้งไปแล้ว 2 ประเด็น บทความนี้ จะกล่าวถึงประเด็นที่ 3  หลวงป๋าได้ตอบประเด็นที่ว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำไม่เคยถวายอาหารพระพุทธเจ้าไว้ ดังนี้

วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่ต้นธาตุต้นธรรมของวิชชาธรรมกาย เขาจึงไม่ได้ทำเช่นนั้น

ที่วัดสระเกศ ซึ่งผู้ให้การอบรมพระกัมมัฏฐานผู้เป็นศิษย์ผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกายมาก็มิได้ทำเช่นนั้น

เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ซึ่งเป็นต้นวิชชาธรรมกายก็มิได้เคยสั่งสอน หรือแนะนำให้ศิษยานุศิษย์คนใดให้ทำเช่นนั้น

และท่านก็ไม่เคยรับรองหรืออนุมัติวิชชาถวายเครื่องไทยทาน โดยการถือว่ากลั่นเป็นของทิพย์นำขึ้นถวายพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพาน แล้วมีผลเป็นกุศล มหาศาลยิ่งใหญ่กว่า

การทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย โดยไม่เคยเว้นแม้เพียงวันเดียว แต่ประการใดเลย

การจะที่โต้แย้งคำตอบนี้ ของหลวงป๋า เราต้องแบ่งยุคสมัยออกเป็น 2 ยุค คือ ยุคที่หลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่ กับเมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว

ตอนที่หลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่เคยถวายอาหารพระพุทธเจ้าจริงๆ 

แต่ตอนนี้หลวงพ่อวัดปากน้ำอยู่ระหว่างนิพพานกับภพ 3 ตามคำสั่งของธาตุธรรม  ท่านมาควบคุมการถวายอาหารพระพุทธเจ้าทุกครั้ง

ตรงนี้ขอกล่าวถึงความเชื่อที่ว่า “หลวงพ่อวัดปากน้ำอยู่ระหว่างนิพพานกับภพ 3” สักนิดหนึ่ง

ความเชื่อดังกล่าวนั้น ผมไม่เชื่อ และผมเถียงหัวชนฝามาแล้ว เมื่อผมได้ยินได้ฟังครั้งแรกจากวัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามนี่แหละ

เพื่อนที่ไปเข้าอบรมปฏิบัติธรรมประจำปีเล่าให้ฟัง ระหว่างคุยกันเล่นๆ ว่า “ตอนนี้ หลวงพ่อฯ อยู่ระหว่างนิพพานกับภพ 3 ยังไม่เข้าอายนตะนิพพาน”

ในตอนนี้ ผมยังมีความเชื่อว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำน่าจะเป็น “พระโพธิสัตว์” มากกว่าที่ว่าจะบรรลุมรรคผลนิพานแล้ว

ผมก็เลยเถียงว่า “เป็นไปไม่ได้”  คนตายไปแล้ว จะไปอยู่ไหนก็ไปใน 31 ภูมินี้ หรือจะเข้าอายตนะนิพพานก็เข้าไปเลย  จะมาอยู่ “ระหว่าง” ภพ 3 กับนิพพานได้อย่างไร

การเถียงนี้ ไม่ใช่ครั้งเดียวนะครับ  เถียงกันแบบหน้าดำคร่ำเครียด จะเอาเป็นเอาตายกันเลยทีเดียว

สุดท้ายเลย คนที่เริ่มต้นเรื่องนี้ขึ้นมา จำได้ว่าท่านมีอาชีพเป็นตำรวจ ก็บอกว่า “ต่อไป ข้างหน้าคุณก็จะรู้เอง

ถึง ณ ตอนนี้ ผมเชื่อเรื่องนี้แล้ว  จากการไปสอนปฏิบัติธรรม จากความรู้ที่ได้รับเพิ่มเติม  

ดังนั้น ความรู้ที่ว่า “ตอนนี้ หลวงพ่อฯ อยู่ระหว่างนิพพานกับภพ 3 ยังไม่เข้าอายนตะนิพพาน” จึงเป็นความรู้ที่ตรงกัน

เมื่อผมต้องการปรึกษาหรือขออนุมัติในการทำเรื่องใดๆ ผมก็มักมาถามตอนไปร่วมพิธีถวายอาหารทะเลนี่แหละ

การถามของผมนี่ ผมถามผ่านคุณลุงการุณย์ บุญมานุชนะครับ  เพื่อว่าบางท่านจะมาโจมตีภายหลังว่า รู้ญาณของผมผิด

ในการถามแต่ละครั้ง แต่ละเรื่อง คนที่ไปร่วมพิธีถวายอาหารทะเลจะเป็นประจักษ์พยานให้ทุกครั้ง

คนที่คิดและทำเรื่องการถวายอาหารพระพุทธเจ้าคือ แม่ชีทองสุก สำแดงปั้น 

ในการทำพิธีแต่ละครั้ง หัวเรือใหญ่อีก 2 ท่านก็คือ แม่ชีจันท์ ขนนกยูง และแม่ชีเธียร ธีระสวัสด์  ฆราวาสซึ่งไปร่วมพิธีเป็นประจำก็คือ คุณลุงการุณย์ บุญมานุชนี่แหละ

ตรงนี้ ไม่มีหลักฐานหรือเรื่องเล่าใดๆ ว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย หรือมีการห้ามหรือไม่

ต่อมา ถึงคำตอบของหลวงป๋าที่ว่า “วัดสระเกศ” กับ “วัดปากน้ำ” ปัจจุบันไม่ทำ ก็เป็นจริงตามนั้น เพราะ คนในรุ่นแรกไม่เชื่อและไม่เคยทำมาก่อน  คนในรุ่นต่อมาจึงไม่ทำ

ในส่วนของคำตอบตรงนี้  ผมขออธิบายว่า ถึงแม้อยากจะทำ ก็ไม่มีทางทำได้ เพราะ

1- วิธีการทำอย่างไร ตรงนี้ไม่มีใครมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง ยกเว้นคุณลุงการุณย์ บุญมานุช ซึ่งทำมานานแล้ว ปรับปรุงมานานแล้ว

2- ถึงแม้จะรู้วิธีการ  แต่ “ทำ” ได้หรือไม่ ยังมีปัญหาขึ้นมาอีกคือ ตนเองมีศักยภาพที่จะทำได้หรือไม่

ตรงนี้ ขอยกตัวอย่างการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ (Asian Games INCHEON 2014) ที่เกาหลี ที่ผ่านมาเป็นตัวอย่าง  ขอยกตัวอย่างกีฬาเซปักตะกร้อก็แล้วกัน

เราจะเห็นว่า ตัวฟาดนั้น ลอยตัวขึ้นไปอย่างไร ทำการฟาดตะกร้อไปซ้าย ไปขวาอย่างไร เวลาดูจากโทรทัศน์มีการทำภาพช้าให้เห็นชัดๆ

ถามจริง  คนดูอย่างเราสามารถทำตามได้หรือไม่

บุคลากรของวัดสระเกศ วัดปากน้ำในปัจจุบันนี้  วิธีการก็ไม่รู้  ศักยภาพก็ทำไม่ได้ แถมไม่เชื่อเรื่องนี้เข้าไปอีก  จึงไม่มีการถวายอาหารพระพุทธเจ้า ณ ที่ 2 แห่งนั้น

คนที่เชื่อคือ แม่ชีจันท์ ขนนกยูง กับ คุณลุงการุณย์ บุญมานุช  จึงทำต่อมา แต่ผลของการทำนั้น ต่างกันแบบ “นิพพาน” กับ “เซฟ” เลยทีเดียว

กล่าวคือ ไปสุดฝ่ายหนึ่งของความดี กับสุดอีกฝ่ายหนึ่งของความเลวเลยทีเดียว

กล่าวคือ แม่ชีจันท์ ขนนกยูง ทำพิธีถวายอาหารดังกล่าวจึงส่งผลให้ท่านต้อง “ตกเซฟ”  ดังนั้น เมื่อสมีธัมมชโยทำตามมา ผลก็คือ ต้อง “ตกเซฟ” เช่นเดียวกัน

ส่วนการถวายอาหารพระพุทธเจ้าของคุณลุงการุณย์ บุญมานุชนั้น  อยู่ในการควบคุมของหลวงพ่อวัดปากน้ำ คุณลุงมีบารมีจากการปราบมาร ซึ่งหลวงพ่อก็เป็นผู้ควบคุมอีกนั่นแหละ

ผลบุญบารมีอันมหาศาลดังกล่าว จึงสามารถส่งผลในผู้ที่เข้าไปร่วมพิธี  มีจุดหมายปลายทางคือ อายตนะนิพพานแน่ๆ ด้วยระยะเวลาของการบำเพ็ญบารมีที่สั้นลง

ตรงนี้ ต้องกล่าวถึงการทำการถวายอาหารพระพุทธเจ้าของ แม่ชีทองสุก สำแดงปั้น กันสักเล็กน้อย

คุณลุงเขียนไว้ในบันทึกปราบมารของคุณลุงว่า เมื่อปราบมารมาได้ 10 ปี แล้ว  วันหนึ่งคุณลุงคิดย้อนไปถึงตอนถวายอาหารทะเลกับแม่ชีทองสุก  ลุงอยากจะรู้ว่า ได้บุญบารมีเท่าไหร่

ปรากฏว่า ไม่ได้บุญบารมีแม้แต่นิดเดียว  กลับจะได้บาปเสียด้วย เพราะ มารมันมาเอาอาหารที่กลั่นแล้ว ไปกินเรียบวุธ

จึงขอสรุปสุดท้าย ณ ที่นี้ว่า 

ตอนนี้ มีกลุ่มที่ทำพิธีถวายเครื่องไทยทานให้กับพระพุทธเจ้าอยู่ 2 กลุ่มคือ สมีธัมมชโยกับคุณลุงการุณย์ บุญมานุช ภายใต้การกำกับดูแลของหลวงพ่อวัดปากน้ำ

การถวายอาหารพระพุทธเจ้าของสมีธัมมชโย ทำเพื่อหลอกลวงเอาเงินประชาชนเท่านั้น  สมีธัมมชโยไม่รู้แม้กระทั่งวิธีการ 

มันก็หลับตาทำปากขมุบขมิบไปแค่นั้น  เหล่าบรรดาหัวหน้ามาร เสนามาร ฯลฯ ซึ่งเป็นภาคดำทั้งนั้น ก็มากินอาหารดังกล่าว

ผลสุดท้ายของผู้ที่เข้าไปร่วมในพิธีกรรมดังกล่าวก็คือ ดวงบาปโตขึ้น ใหญ่ขึ้น

สำหรับการถวายอาหารพระพุทธเจ้าของคุณลุงการุณย์ บุญมานุช ภายใต้การกำกับดูแลของหลวงพ่อวัดปากน้ำ และบารมีจากการปราบมารของคุณลุงเอง

ผู้ที่เข้าไปร่วมในพิธีจึงมีดวงบุญใหญ่ขึ้น สว่างขึ้น .......... สามารถทำให้บารมี 30 ทัศเต็มเร็วมากขึ้น การบรรลุมรรคผลนิพพานจึงมีระยะเวลาสั้นลง

ใครจะเลือกไปทางไหน ก็ตามที่ความสมัครใจของท่าน...






ถวายอาหารพระพุทธเจ้าได้บุญธรรมดาเท่านั้น


ในบทความ “ถวายอาหารไม่ถึงพระพุทธเจ้า [01]”, “ถวายอาหารไม่ถึงพระพุทธเจ้า [02]” ผมได้อธิบายและให้เหตุผลไปแล้วว่า  ความเชื่อของหลวงป๋าที่ว่า “การถวายอาหารนั้น ไม่ถึงพระพุทธเจ้า” นั้น หลวงป๋าเข้าใจผิด เพราะ “ไม่รู้” และ “ไม่เข้าใจ” วิชาธรรมกายชั้นสูง

หลวงป๋าตอบโดยใช้ความรู้จากพระไตรปิฎกเป็นหลัก  ไม่ได้ใช้ความรู้จากวิชาธรรมกายมาอธิบาย ทั้งๆ ที่หนังสือวิชาธรรมกายชั้นสูง เช่น มรรคผล 1 หรือ มรรคผล 2 นั้น หลวงป๋าเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดพิมพ์ขึ้น

ต่อไป เป็นคำตอบของหลวงป๋าในส่วนที่สอง ซึ่งมีคำตอบดังนี้

อานิสงส์ของผู้ไปร่วมถวายเครื่องไทยทานแด่พระพุทธเจ้าเช่นนั้น มีคล้ายๆ กับการถวายข้าวพระพุทธหรือบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ธูปเทียนธรรมดา  ในฐานะของผู้ที่ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าโดยทั่วไป

แต่มิใช่ว่า จะได้บุญใหญ่มหาศาลยิ่งกว่าการที่เราทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย  โดยไม่เคยเว้นแม้เพียงวันเดียวแต่ประการใด เพราะ จากประเด็นแรก

เครื่องไทยทานที่กลั่นเป็นของทิพย์ (โดยผู้ทรงโลกิยวิชชา)  ซึ่งจัดเป็นสังขารธรรมนั้น ไม่ถึงพระนิพพาน คือธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้ว ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพ ซึ่งเข้าอนุปาทิเสสนิพพานและไปปรากฏอยู่ในอายตนะนิพพานแล้วนั้น อย่างแน่นอน

คำตอบดังกล่าวนั้น เป็นคำตอบข้อที่ 1  จากคำตอบจำนวน 3 ข้อ

ตรงนี้ หลวงป๋ายืนยันว่า บุญบารมีของผู้ที่เข้าไปร่วมพิธีถวายเครื่องไทยทานแด่พระพุทธเจ้านั้น ได้เพียง “การถวายข้าวพระพุทธ หรือบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ธูปเทียนธรรมดา

หลักฐานสนับสนุนของหลวงป๋าก็คือ “ของที่ถวายนั้น ไม่ถึงพระพุทธเจ้า” 

ดังนั้น ถ้าเรามีหลักฐานยืนยันว่า “ของที่ถวายนั้น ถึงพระพุทธเจ้า”  คำตอบของหลวงป๋าข้อนี้ ก็เป็นคำตอบที่ผิด

ต่อไป ดูคำตอบในข้อที่ 2

การทำบุญ (ทานกุศล) กับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์ ฯลฯ กายเนื้อ เป็นมหากุศลหรือบุญกุศลตามส่วน ก็เพราะท่านได้บริโภคขบฉันใช้สอยหรือทำประโยชน์จากเครื่องไทยทานนั้นเพื่อยังชีวิต (กายเนื้อ) ของท่านให้เป็นไป หรือดำเนินไปได้

ส่วนพระนิพพานนั้น มิได้ปรารถนาที่จะบริโภคขบฉันใช้สอยหรือทำประโยชน์จากเครื่องไทยทานทิพย์เช่นนั้น เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของพระองค์ท่านแต่ประการใดเลย

เครื่องไทยทานทิพย์เช่นนั้นจึงมีค่าไม่แตกต่างอะไรจากเครื่องไทยทานธรรมดา ซึ่งมีผู้นำไปบูชาพระพุทธรูปโดยทั่วไป  แล้วจะไปเอาหรือได้บุญมหาศาลจากไหน?

และหากหลงผิดคิดว่า ได้บุญมหาศาลเช่นนั้น   ก็ยังกลับจะได้ “โมหะ” บาปอกุศลติดตนเป็นของแถมเสียอีก

จึงขอเจริญพรเพื่อทราบว่า สิ่งที่หล่อเลี้ยงธรรมกายจากสุดหยาบไปจนถึงพระนิพพานที่สุดละเอียดในอายตนะนิพพานถอดกายและอายตนะนิพพานเป็นนั้น  มิใช่เครื่องไทยทานอันเป็นอามิสทานของหยาบ ซึ่งจัดเป็นสังขารธรรม (สังขตธาตุ สังขตธรรม) แต่ประการใด

หากแต่เป็น “บุญ” ซึ่งได้กลั่นตัวจนแก่กล้าแล้ว เป็นบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ (ในการปกครองธาตุธรรม) สิทธิ สิทธิเฉียบขาด ฯลฯ

ซึ่งเป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม คือธาตุล้วนธรรมล้วนไปจนถึงธาตุธรรมที่สุดละเอียดของอายตนะนิพพานเป็น นั้นแล

คำตอบของหลวงป๋าตรงนี้ ขอให้พิจารณาข้อความที่ผมเน้นสีน้ำเงินไว้ให้มากๆ  หลวงป๋ายืนยันว่า พระนิพพานไม่ได้ “ฉัน” หรือ “ใช้สอย”  เครื่องไทยทานที่มีการถวายขึ้นไป  แต่พระนิพพาน “ฉัน” หรือ “ใช้สอย” บุญซึ่งกลั่นตัวขึ้นไป

ก่อนอื่นขออธิบายศัพท์ตรงนี้นิดหนึ่ง เดี๋ยวท่านผู้อ่านที่เข้ามาอ่านใหม่จะไม่เข้าใจ

ในทางวิชาธรรมกายมีศัพท์ ที่เกี่ยวข้องกับนิพพาน อยู่ 3 คำ ที่ความหมายนั้น คนเข้ามาศึกษาใหม่ๆ มักจะงงกัน คือ อายตนะนิพพาน พระนิพพาน และ นิพพาน

อายตนะนิพพาน คือ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไปอุบัติอยู่
พระนิพพาน คือ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่อยู่ในอายตนะนิพพาน
นิพพาน คือ ความหมายของ อายตนะนิพพาน + พระนิพพาน

มาเข้าเรื่องคำตอบของหลวงป๋ากันต่อไป 

จากคำตอบของหลวงป๋านั้น ก็แสดงว่า พระนิพพานก็ “ฉัน” หรือ “ใช้สอย” เหมือนกัน  ไม่ใช่อยู่นิ่งเฉยอย่างเดียว แต่พระนิพพาน “ฉัน” หรือ “ใช้สอย” บุญบารมีของพระองค์เอง

อย่างนั้นก็แสดงว่า  เราก็มีหนทางที่จะ “ถวายเครื่องไทยทาน” ให้แก่พระนิพพานได้เช่นเดียวกัน เพราะบุญบารมีที่พระนิพพานได้ฉัน ได้ใช้สอยในอายตนะนิพพานก็เป็นการสร้างอยู่ในภพ 3 นี่เอง ไม่ใช่ไปสร้างเมื่ออยู่ในอายตนะนิพพานแล้ว

ในกรณี ถ้าหลวงป๋าบอกว่า พระนิพพานไม่ฉันอะไรเลย   เราก็ต้องไปถกกันก่อนว่า พระนิพพานฉันอะไรหรือไม่  แต่หลวงป๋าบอกว่า พระนิพพานฉันบุญบารมี การโต้แย้งครั้งนี้ก็ทำได้ง่ายขึ้น

ต่อไป ดูคำตอบในข้อที่ 3 ของหลวงป๋ากัน

มีปรากฏหลักฐานเอกสารในที่มากแห่งในพระไตรปิฎกว่า บุคคลผู้ทำบุญด้วยใจศรัทธากับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพผู้มีอาสวะกิเลสสิ้นแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่ท่านเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ นั้น ได้รับผลบุญในปัจจุบันทันตาเห็นมากมาย

นี่ว่า แต่เฉพาะที่ทำบุญกับพระพุทธเจ้าองค์เดียว กับพระอรหันต์จำนวนหนึ่งเท่านั้น... แล้วถ้าทำบุญกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งประทับเข้านิโรธสมาบัติมาโดยตลอดเช่นนั้นได้ถึงจริงละก็

ป่านนี้ผู้ที่ไปร่วมพิธีถวายเครื่องไทยทานทั้งหลายจะมิได้รับผลบุญในปัจจุบัน และกลายเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีทันตาเห็นกันไปหมดหรือแทบจะหมดทุกคน

ยิ่งกว่าตัวอย่างของบุคคลผู้ทำบุญ (ทานมัย) กับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าในสมัยพุทธกาล ละหรือ ?

ท่านลองถามตัวเองดูซิว่า ตั้งแต่มีการทำบุญเช่นนั้นเป็นต้นมา มีใครร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีขึ้นมาทันตาเห็นบ้าง?

ข้อความในส่วนนี้ หลวงป๋ายอมรับว่า การทำบุญกับพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ ที่ออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ จะได้บุญมหาศาล

ดังนั้น การทำบุญในพิธีถวายข้าวพระของวัดพระกาย ก็น่าจะได้บุญมหาศาล แต่ยังไม่เห็นใครรวยมหาศาลทันตาเห็น อย่างนั้นสักคนเดียว

ขออธิบายตรงนี้นิดหนึ่ง  

คำถามนี้ คนถาม เขามุ่งไปที่วัดพระธรรมกาย แต่ผมขอใช้สิทธิพาดพิงเพราะ ผมไปร่วมพิธีถวายอาหารทะเลกับลุงเดือนละ 2-3 ครั้ง

สมีเควี่ยธัมมโยมันทำไม่ถึงนิพพานหรอก ผมก็ยืนยันอย่างนี้มานานแล้ว  มันหลอกเอาเงินประชาชนเท่านั้น แต่คุณลุงการุณย์ บุญมานุชทำถึง ทำได้

ผมเองในฐานะที่ถวายอาหารทะเลเป็นประจำ ทำไมไม่รวยมหาศาลกับเขาบ้าง

คำตอบข้อนี้ของหลวงป๋านั้น ผมบอกตรงๆ ว่า “ไม่น่าจะมี” เพราะ ไม่ได้อิงกับหลักวิชาข้อใดเลย  คำตอบข้อ 1 กับ ข้อ 2 ก็เป็นคำตอบที่ดีอยู่แล้ว

ตรงนี้ หลวงป๋าไม่เข้าใจเรื่องบารมี 30 ทัศกับทรัพย์สมบัติในโลกมนุษย์ และการทำงานของมาร ซึ่งเป็นข้อยืนยันไปอีกครั้งหนึ่งว่า “หลวงป๋าไม่เข้าใจวิชาธรรมกายชั้นสูง

ในการสร้างบารมีของคนในแวดวงวิชาธรรมกายนั้น  เมื่อไหร่เดินวิชา เมื่อไหร่ไปสอน ฯลฯ เราจะได้บุญ-บารมีทันที  ดวงบุญ-บารมีจะโตขึ้นใสขึ้นทันที นั่นเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการไปแล้ว

การที่บุญ-บารมีของเราจะแปลงมาเป็น “ทรัพย์สิน” ในโลกนี้ มันอีกเรื่องหนึ่ง

ถ้าไม่มี “มาร” เราอยากจะแปลงบุญ-บารมีเป็นทรัพย์สินหรือเงินทองนั้น ทำได้ทันที  ที่ทำไม่ได้หรือไม่เป็นอย่างนั้น เพราะ “มาร” มันขัดขวางอยู่

“มาร” มันรู้ดีว่า  ถ้าเรามีเงินเมื่อไหร่ เราก็จะเผยแพร่วิชาธรรมกายออกไปอย่างกว้างขวางทั่วโลก มารมันยอมไม่ได้

ผมมีหลักฐานยืนยันด้วย คือ กรณีของสมีเควี่ยธัมมชโย ทั้งๆ ที่เป็นคนระยำจังไรที่สุดในยุคนี้  แต่มารไม่ขวางเรื่องเงิน  สนับสนุนเสียอีก

สมีเควี่ยธัมมชโยมันจึงหาเงินได้อย่างมหาศาล หลวงป๋ายังหาเงินสู้มันไม่ได้  นี่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้

โดยสรุป

การถวายอาหารให้พระพุทธเจ้านั้น  บุคลากรของวัดพระธรรมกายทำไม่ได้แน่ๆ อย่างที่หลวงป๋าตอบไว้ 

อย่างไรก็ดี  ในกรณีของคุณลุงการุณย์ บุญมานุชนั้น ธาตุธรรมท่านใช้ให้ “ปราบมาร” โดยให้ลุงเป็นฐานทัพ

เมื่อไหร่คุณลุงการุณย์เดินวิชา ธาตุธรรมทั้งหมดก็จะมาซ้อนอยู่ในกายของคุณลุง แล้วช่วยกันปราบมาร

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างนิพพานกับภพสามนั้น ควบคุมดูแลอยู่ตลอด

ด้วยบารมีดังกล่าว 

คุณลุงการุณย์จึงสามารถกลั่นอาหาร กลั่นจีวรไปถวายธาตุธรรม หรือพระนิพพานในอายตนะนิพพานได้

อย่างไรก็ดี  การถวายอาหารของคุณลุงการุณย์นั้น เป็นกรณียกเว้น ไม่มีใครทำได้อีกแล้ว

ดังนั้น คำตอบของหลวงป๋านั้น จึงถูกต้องในหลักการทั่วไป ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก แต่ไม่ถูกต้องมีพิจารณาในแง่วิชาธรรมกายชั้นสูง

เรื่องอาหารนี้  ผมเคยถามลุงเองว่า “ทำไปทำไม พระพุทธเจ้าท่านมีอาหารทิพย์ของท่านอยู่แล้ว

ลุงตอบว่า “ถ้าเป็นภาวะปกติ ไม่รบกันมาร ก็ไม่เป็นไร แน่ยุคนี้ เป็นยุครบกับมาร อาหารที่ถวายไปนั้น เหมือนกับวิตามิน หรืออาหารเสริม ทำให้พระองค์มีกำลังมากขึ้น

การถวายอาหารของคุณลุงการุณย์ บุญมานุชนั้น  ถวายเป็นลำดับอย่างนี้ คือ

1- นิพพานเป็น
2- นิพพานกายธรรม
3- อรูปพรหม
4- รูปพรหม
5- สวรรค์
รวมถึงจักรพรรดิทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวงที่อยู่ตามลำดับอย่างนั้นด้วย

ก็ลองคิดดูเอาเองเถอะว่า เราจะได้บุญบารมีขนาดไหน...