ถวายอาหารไม่ถึงพระพุทธเจ้า [02]


ภาพจักรพรรดิที่นักศึกษา ม. นเรศวรวาด

ในบทความ “ถวายอาหารไม่ถึงพระพุทธเจ้า”  ผมได้นำหลักฐานโต้แย้งข้อความของหลวงป๋าที่ว่า

ดังนั้น  อะไรก็ตามในภพ 3 นี้ อันประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้

ยังมีข้อบกพร่อง เพราะ กายธรรมในอายตนะนิพพานมี “จีวร” และกายธรรมนั้นเอง ก็เป็นกายที่พัฒนามาจากกายเนื้อ ซึ่งเป็นของในภพ 3 นี้เอง

ดังนั้น  เครื่องไทยธรรมในภพ 3 ก็ต้องสามารถเข้าไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้ โดยจะเปลี่ยนสภาพจาก “สังขตธาตุ-สังขตธรรม” เป็น “อสังขตธาตุ-อสังขตธรรม

ในบทความนี้ เรามาวิพากษ์วิจารณ์กันต่อ

แม้กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมของผู้กลั่น และผู้นำเครื่องไทยทานไปถวายพระพุทธเจ้านั้น ก็ถึงอายตนะนิพพานที่แท้จริงไม่ได้ เพราะยังเป็นสังขารที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่งอยู่อีกเช่นกัน

ตรงนี้ หลวงป๋าบอกว่า ในการกลั่นเครื่องไทยทานเช่นอาหารนั้น คนทำซึ่งเป็นมนุษย์ไม่สามารถทำให้ถึงอายตนะนิพพานได้

ตรงนี้ ผมขอยืนยันว่า “หลวงป๋าไม่เข้าใจวิชาธรรมกายชั้นสูง”  ที่หลวงป๋ากล่าวมานั้น เป็นไปตามหลักการที่ตีความจากพระไตรปิฎก  ผมขอยืนยันว่า หลักการที่หลวงป๋ากล่าวนั้น “เป็นหลักการที่ถูกต้อง

แต่ในวิชาธรรมกายมี “เทคนิควิธีการ” ที่ทำให้กายเนื้อของมนุษย์นั้น ทำวิชาชั้นสูงๆ ได้ โดยไม่ละเมิดหลักการจากพระไตรปิฎกที่กล่าวไปข้างต้น

ตรงนี้ ขออธิบายหลักการทางฟิสิกส์ใหม่ประกอบสักเล็กน้อย

ไอน์สไตน์ประกาศมานานแล้วว่า “ไม่มีอะไรเร็วกว่าแสง” เป็นหลักการที่เป็นจริง 

อย่างไรก็ดี นักฟิสิกส์ใหม่รุ่นหลังคิดว่า อาจจะสามารถละเมิดหลักการของไอน์สไตน์ได้  คือ ให้วัตถุเหล่านั้น “ขี่แสง” ไป  ซึ่งจะสามารถทำให้ “สิ่ง” นั้น สามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงได้

การคิด การทดลองดังกล่าว เป็นการทดลองแบบวิชาการ โดยนักฟิสิกส์ใหม่  ไม่ใช่คิดบ้าเพ้อเจ้อไปเรื่อยอย่างสมีธัมมชโย

หลักฐานที่จะยืนยันว่า “หลวงป๋าไม่เข้าใจวิชาธรรมกายชั้นสูง”  ผมจะขอยกตัวอย่าง เรื่อง “สิทธิและอำนาจ” ในหนังสือมรรคผลพิสดาร 2 ซึ่งหลวงป๋าเป็นตัวตั้งตัวตีจัดพิมพ์ขึ้นมาเอง 

แสดงว่า หลวงป๋า “รู้” วิชาธรรมกายตามตำราแบบนักวิชาการทั่วๆ ไป  แต่ “ไม่เข้าใจ” และไม่สามารถปฏิบัติตามวิชาธรรมกายชั้นสูงได้

เรื่องสิทธิและอำนาจ ในหนังสือมรรคผลพิสดาร 2 ก็คือ หลักการของ “วิชาปราบมาร” ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ 




ในการรบกับมาร เพื่อดับมาร หรือเพื่อปราบมารนั้น  ต้องใช้ “สมาธิจิตหรือจิตตานุภาพที่หยุดนิ่งจนละเอียดไม่มีสิ้นสุด ที่เรียกว่า “อนัตตญาโณ  ตรงนี้มีคำถามว่า “ต้องใช้สมาธิจิตของใคร

คำตอบก็คือ “สมาธิจิตของคนที่อยู่ในภพ 3 นี้”  ซึ่งเป็นกายโลกียะนี่แหละ ซึ่งเป็นกายที่ประกอบไปด้วยสังขธาตุ-สังขธรรมนี่แหละ

ต่อไป ขอให้อ่านข้อความในส่วนที่เน้นสีเหลืองแบบตั้งใจหน่อย เพราะ ถึงตอนสำคัญแล้ว  หลวงพ่อเขียนว่า “

เอากายมนุษย์ทั้งหมดทุกกาย ตลอดวงศ์สายขาว วงศ์สายกลาง และสายดำ ทั้ง เถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด มาซ้อนสับทับทวีเข้าใน กายมนุษย์  

ข้อความข้างต้นนั้น รวมถึงกายของจักรพรรดิทั้งหมดด้วย  ขั้นตอนต่อมาก็คือ

แล้วเอามือขวาของ กายมนุษย์ นี้ถือจักร มือซ้ายถือดวงแก้ว ส่วนรัตนะอีก ๕ อย่างนั้น เอาเข้าใน กายมนุษย์ กลั่นให้กายใสเป็นแก้ว

นี่คือหลักการพื้นฐานของการปราบมาร  เมื่อเตรียมการแบบนี้เสร็จแล้ว จะไปปราบมารด้วยวิชาใดก็เลือกเอา

ตรงนี้ ขอให้ศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำทำใจกว้างๆ หน่อย  ในฐานะที่ผมไปวัดหลวงพ่อสดฯ มาเป็นเวลา 10 ปี และศึกษางานเขียนของหลวงป๋ามาตลอด หลวงป๋าไม่เคยเขียนถึงเรื่องการปราบมาร

หลวงป๋าน่าจะไม่เชื่อเรื่องการปราบมารเสียด้วยซ้ำ  ทั้งๆ ที่มีเอกสารและเรื่องเล่าถึงการจัดเวรปราบมาร 6 เวรของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เพื่อทำงานปราบมารตลอด 24 ชั่วโมง

หัวหน้าเวร จำนวน 6 คน ยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันมีจำนวน 2 คน คือ คุณยายฉลวย สมบัติสุขอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และคุณตรีธา เนียมขำ ยังอยู่ในวัดปากน้ำ

ขออธิบายหลักการคร่าวๆ ของการเอากายซ้อนกันในหัวข้อเรื่อง “สิทธิและอำนาจ” ในหนังสือมรรคผลพิสดาร 2 ดังนี้

การที่เราต้องมาเกิดนั้น เพื่อต้องการ “กายเนื้อ” ไว้สำหรับสร้างบารมี เพื่อให้มีบารมีครบ 30 ทัศ แล้วอยากจะเป็นอะไรก็จะได้ตามที่อธิษฐานบารมีไว้

การปราบมารก็ต้องอาศัยกายเนื้อเช่นเดียวกัน

ที่เป็นเช่นนั้น เพราะ “กายเนื้อ” อันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยกิเลสนี้ มีข้อดีอย่างสำคัญก็คือ “มารระเบิดไม่แตก”  กายละเอียดต่างๆ นั้น เมื่อรบกับมาร ถ้าสู้มารไม่ได้ มารมันสามารถระเบิดแตกหมด

กายเนื้อของเรานั้น ถ้าเป็นผู้สร้างบารมีแล้ว เราจะมีจักรพรรดิครบถ้วนสมบูรณ์  แต่จักรพรรดินั้น ก็ยังสู้มารไม่ได้อีกเหมือนกัน 

ดังนั้น  คนที่จะปราบมาร หรือสร้างบารมีเพื่อปราบมารนั้น จะต้องสร้าง “กายมนุษย์พิเศษ” ของตนขึ้นมาให้ได้

ผมขอประกาศไป ณ ที่นี้ว่า ถึงปัจจุบันนี้ ผมก็มีกายมนุษย์พิเศษของผม

คำว่า “กายมนุษย์พิเศษ” นี้ก็คือ “กายมนุษย์” ในข้อความด้านบน  คนที่บันทึกหนังสือมรรคผลพิสดาร 2 นั้น เขียนลงไปแค่ “กายมนุษย์”  แต่จริงๆ คือ “กายมนุษย์พิเศษ”

“กายมนุษย์พิเศษ” นั้น จะเหมือนตัวเราเป๊ะ  แต่ใสเป็นแก้ว มีเครื่องทรงแบบจักรพรรดิ และมีอาวุธไปตามระดับบารมี 

ภาพของจักรพรรดิก็ดูด้านบน เป็นภาพที่นักศึกษา ม. นเรศวรวาดขึ้น

“กายมนุษย์พิเศษ” จะต้องมีจนนับไม่ถ้วน  พระพุทธเจ้าก็มี  หลวงพ่อวัดปากน้ำก็มี เวลาใครนึกถึงพระพุทธเจ้าไม่ว่าจะนึกถึงกี่หมื่นกี่แสนคน ก็จะเห็นพระพุทธเจ้าเหมือนกันทุกคน พร้อมๆ กัน

นั่นก็เป็นเพราะ “กายมนุษย์พิเศษ” ของพระพุทธเจ้าไปทำงานของท่าน

ที่อยู่ของ “กายมนุษย์พิเศษ” ก็คือ ศูนย์กลางกายของคนนั้น

จะเห็นได้ว่า ข้อความของหลวงป๋า ซึ่งหลวงป๋าตอบแบบอิงตำราวิชาธรรมกาย บวกกับพระไตรปิฎกนั้น ที่ว่า

แม้กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมของผู้กลั่น  และผู้นำเครื่องไทยทานไปถวายพระพุทธเจ้านั้น ก็ถึงอายตนะนิพพานที่แท้จริงไม่ได้  เพราะยังเป็นสังขารที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่งอยู่อีกเช่นกัน

ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่ 

ในการทำวิชาปราบมารนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ปราบมารเป็นธาตุธรรมที่อยู่ในอายตนะนิพพานเป็นผู้ทำ โดยเข้ามาซ้อนอยู่ในกายของมนุษย์

มนุษย์ที่เป็นฐานให้ธาตุธรรมเข้ามาซ้อนอยู่ในกายนั้น ต้องเป็นคนทำวิชา  ถ้ากายมนุษย์ดังกล่าว ไม่ทำวิชา ธาตุธรรมก็เข้ามาซ้อนไม่ได้

การที่ไปสรุปฟันธงเลยว่า “กายมนุษย์เป็นโลกียะ กลั่นเครื่องไทยทานให้ถึงอายตนะนิพพานไม่ได้” จึงเป็นการสรุปที่ไม่ครอบคลุมความเป็นจริงทั้งหมด






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น