ถวายอาหารพระพุทธเจ้าได้บุญธรรมดาเท่านั้น


ในบทความ “ถวายอาหารไม่ถึงพระพุทธเจ้า [01]”, “ถวายอาหารไม่ถึงพระพุทธเจ้า [02]” ผมได้อธิบายและให้เหตุผลไปแล้วว่า  ความเชื่อของหลวงป๋าที่ว่า “การถวายอาหารนั้น ไม่ถึงพระพุทธเจ้า” นั้น หลวงป๋าเข้าใจผิด เพราะ “ไม่รู้” และ “ไม่เข้าใจ” วิชาธรรมกายชั้นสูง

หลวงป๋าตอบโดยใช้ความรู้จากพระไตรปิฎกเป็นหลัก  ไม่ได้ใช้ความรู้จากวิชาธรรมกายมาอธิบาย ทั้งๆ ที่หนังสือวิชาธรรมกายชั้นสูง เช่น มรรคผล 1 หรือ มรรคผล 2 นั้น หลวงป๋าเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดพิมพ์ขึ้น

ต่อไป เป็นคำตอบของหลวงป๋าในส่วนที่สอง ซึ่งมีคำตอบดังนี้

อานิสงส์ของผู้ไปร่วมถวายเครื่องไทยทานแด่พระพุทธเจ้าเช่นนั้น มีคล้ายๆ กับการถวายข้าวพระพุทธหรือบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ธูปเทียนธรรมดา  ในฐานะของผู้ที่ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าโดยทั่วไป

แต่มิใช่ว่า จะได้บุญใหญ่มหาศาลยิ่งกว่าการที่เราทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย  โดยไม่เคยเว้นแม้เพียงวันเดียวแต่ประการใด เพราะ จากประเด็นแรก

เครื่องไทยทานที่กลั่นเป็นของทิพย์ (โดยผู้ทรงโลกิยวิชชา)  ซึ่งจัดเป็นสังขารธรรมนั้น ไม่ถึงพระนิพพาน คือธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้ว ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพ ซึ่งเข้าอนุปาทิเสสนิพพานและไปปรากฏอยู่ในอายตนะนิพพานแล้วนั้น อย่างแน่นอน

คำตอบดังกล่าวนั้น เป็นคำตอบข้อที่ 1  จากคำตอบจำนวน 3 ข้อ

ตรงนี้ หลวงป๋ายืนยันว่า บุญบารมีของผู้ที่เข้าไปร่วมพิธีถวายเครื่องไทยทานแด่พระพุทธเจ้านั้น ได้เพียง “การถวายข้าวพระพุทธ หรือบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ธูปเทียนธรรมดา

หลักฐานสนับสนุนของหลวงป๋าก็คือ “ของที่ถวายนั้น ไม่ถึงพระพุทธเจ้า” 

ดังนั้น ถ้าเรามีหลักฐานยืนยันว่า “ของที่ถวายนั้น ถึงพระพุทธเจ้า”  คำตอบของหลวงป๋าข้อนี้ ก็เป็นคำตอบที่ผิด

ต่อไป ดูคำตอบในข้อที่ 2

การทำบุญ (ทานกุศล) กับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์ ฯลฯ กายเนื้อ เป็นมหากุศลหรือบุญกุศลตามส่วน ก็เพราะท่านได้บริโภคขบฉันใช้สอยหรือทำประโยชน์จากเครื่องไทยทานนั้นเพื่อยังชีวิต (กายเนื้อ) ของท่านให้เป็นไป หรือดำเนินไปได้

ส่วนพระนิพพานนั้น มิได้ปรารถนาที่จะบริโภคขบฉันใช้สอยหรือทำประโยชน์จากเครื่องไทยทานทิพย์เช่นนั้น เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของพระองค์ท่านแต่ประการใดเลย

เครื่องไทยทานทิพย์เช่นนั้นจึงมีค่าไม่แตกต่างอะไรจากเครื่องไทยทานธรรมดา ซึ่งมีผู้นำไปบูชาพระพุทธรูปโดยทั่วไป  แล้วจะไปเอาหรือได้บุญมหาศาลจากไหน?

และหากหลงผิดคิดว่า ได้บุญมหาศาลเช่นนั้น   ก็ยังกลับจะได้ “โมหะ” บาปอกุศลติดตนเป็นของแถมเสียอีก

จึงขอเจริญพรเพื่อทราบว่า สิ่งที่หล่อเลี้ยงธรรมกายจากสุดหยาบไปจนถึงพระนิพพานที่สุดละเอียดในอายตนะนิพพานถอดกายและอายตนะนิพพานเป็นนั้น  มิใช่เครื่องไทยทานอันเป็นอามิสทานของหยาบ ซึ่งจัดเป็นสังขารธรรม (สังขตธาตุ สังขตธรรม) แต่ประการใด

หากแต่เป็น “บุญ” ซึ่งได้กลั่นตัวจนแก่กล้าแล้ว เป็นบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ (ในการปกครองธาตุธรรม) สิทธิ สิทธิเฉียบขาด ฯลฯ

ซึ่งเป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม คือธาตุล้วนธรรมล้วนไปจนถึงธาตุธรรมที่สุดละเอียดของอายตนะนิพพานเป็น นั้นแล

คำตอบของหลวงป๋าตรงนี้ ขอให้พิจารณาข้อความที่ผมเน้นสีน้ำเงินไว้ให้มากๆ  หลวงป๋ายืนยันว่า พระนิพพานไม่ได้ “ฉัน” หรือ “ใช้สอย”  เครื่องไทยทานที่มีการถวายขึ้นไป  แต่พระนิพพาน “ฉัน” หรือ “ใช้สอย” บุญซึ่งกลั่นตัวขึ้นไป

ก่อนอื่นขออธิบายศัพท์ตรงนี้นิดหนึ่ง เดี๋ยวท่านผู้อ่านที่เข้ามาอ่านใหม่จะไม่เข้าใจ

ในทางวิชาธรรมกายมีศัพท์ ที่เกี่ยวข้องกับนิพพาน อยู่ 3 คำ ที่ความหมายนั้น คนเข้ามาศึกษาใหม่ๆ มักจะงงกัน คือ อายตนะนิพพาน พระนิพพาน และ นิพพาน

อายตนะนิพพาน คือ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไปอุบัติอยู่
พระนิพพาน คือ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่อยู่ในอายตนะนิพพาน
นิพพาน คือ ความหมายของ อายตนะนิพพาน + พระนิพพาน

มาเข้าเรื่องคำตอบของหลวงป๋ากันต่อไป 

จากคำตอบของหลวงป๋านั้น ก็แสดงว่า พระนิพพานก็ “ฉัน” หรือ “ใช้สอย” เหมือนกัน  ไม่ใช่อยู่นิ่งเฉยอย่างเดียว แต่พระนิพพาน “ฉัน” หรือ “ใช้สอย” บุญบารมีของพระองค์เอง

อย่างนั้นก็แสดงว่า  เราก็มีหนทางที่จะ “ถวายเครื่องไทยทาน” ให้แก่พระนิพพานได้เช่นเดียวกัน เพราะบุญบารมีที่พระนิพพานได้ฉัน ได้ใช้สอยในอายตนะนิพพานก็เป็นการสร้างอยู่ในภพ 3 นี่เอง ไม่ใช่ไปสร้างเมื่ออยู่ในอายตนะนิพพานแล้ว

ในกรณี ถ้าหลวงป๋าบอกว่า พระนิพพานไม่ฉันอะไรเลย   เราก็ต้องไปถกกันก่อนว่า พระนิพพานฉันอะไรหรือไม่  แต่หลวงป๋าบอกว่า พระนิพพานฉันบุญบารมี การโต้แย้งครั้งนี้ก็ทำได้ง่ายขึ้น

ต่อไป ดูคำตอบในข้อที่ 3 ของหลวงป๋ากัน

มีปรากฏหลักฐานเอกสารในที่มากแห่งในพระไตรปิฎกว่า บุคคลผู้ทำบุญด้วยใจศรัทธากับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพผู้มีอาสวะกิเลสสิ้นแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่ท่านเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ นั้น ได้รับผลบุญในปัจจุบันทันตาเห็นมากมาย

นี่ว่า แต่เฉพาะที่ทำบุญกับพระพุทธเจ้าองค์เดียว กับพระอรหันต์จำนวนหนึ่งเท่านั้น... แล้วถ้าทำบุญกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งประทับเข้านิโรธสมาบัติมาโดยตลอดเช่นนั้นได้ถึงจริงละก็

ป่านนี้ผู้ที่ไปร่วมพิธีถวายเครื่องไทยทานทั้งหลายจะมิได้รับผลบุญในปัจจุบัน และกลายเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีทันตาเห็นกันไปหมดหรือแทบจะหมดทุกคน

ยิ่งกว่าตัวอย่างของบุคคลผู้ทำบุญ (ทานมัย) กับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าในสมัยพุทธกาล ละหรือ ?

ท่านลองถามตัวเองดูซิว่า ตั้งแต่มีการทำบุญเช่นนั้นเป็นต้นมา มีใครร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีขึ้นมาทันตาเห็นบ้าง?

ข้อความในส่วนนี้ หลวงป๋ายอมรับว่า การทำบุญกับพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ ที่ออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ จะได้บุญมหาศาล

ดังนั้น การทำบุญในพิธีถวายข้าวพระของวัดพระกาย ก็น่าจะได้บุญมหาศาล แต่ยังไม่เห็นใครรวยมหาศาลทันตาเห็น อย่างนั้นสักคนเดียว

ขออธิบายตรงนี้นิดหนึ่ง  

คำถามนี้ คนถาม เขามุ่งไปที่วัดพระธรรมกาย แต่ผมขอใช้สิทธิพาดพิงเพราะ ผมไปร่วมพิธีถวายอาหารทะเลกับลุงเดือนละ 2-3 ครั้ง

สมีเควี่ยธัมมโยมันทำไม่ถึงนิพพานหรอก ผมก็ยืนยันอย่างนี้มานานแล้ว  มันหลอกเอาเงินประชาชนเท่านั้น แต่คุณลุงการุณย์ บุญมานุชทำถึง ทำได้

ผมเองในฐานะที่ถวายอาหารทะเลเป็นประจำ ทำไมไม่รวยมหาศาลกับเขาบ้าง

คำตอบข้อนี้ของหลวงป๋านั้น ผมบอกตรงๆ ว่า “ไม่น่าจะมี” เพราะ ไม่ได้อิงกับหลักวิชาข้อใดเลย  คำตอบข้อ 1 กับ ข้อ 2 ก็เป็นคำตอบที่ดีอยู่แล้ว

ตรงนี้ หลวงป๋าไม่เข้าใจเรื่องบารมี 30 ทัศกับทรัพย์สมบัติในโลกมนุษย์ และการทำงานของมาร ซึ่งเป็นข้อยืนยันไปอีกครั้งหนึ่งว่า “หลวงป๋าไม่เข้าใจวิชาธรรมกายชั้นสูง

ในการสร้างบารมีของคนในแวดวงวิชาธรรมกายนั้น  เมื่อไหร่เดินวิชา เมื่อไหร่ไปสอน ฯลฯ เราจะได้บุญ-บารมีทันที  ดวงบุญ-บารมีจะโตขึ้นใสขึ้นทันที นั่นเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการไปแล้ว

การที่บุญ-บารมีของเราจะแปลงมาเป็น “ทรัพย์สิน” ในโลกนี้ มันอีกเรื่องหนึ่ง

ถ้าไม่มี “มาร” เราอยากจะแปลงบุญ-บารมีเป็นทรัพย์สินหรือเงินทองนั้น ทำได้ทันที  ที่ทำไม่ได้หรือไม่เป็นอย่างนั้น เพราะ “มาร” มันขัดขวางอยู่

“มาร” มันรู้ดีว่า  ถ้าเรามีเงินเมื่อไหร่ เราก็จะเผยแพร่วิชาธรรมกายออกไปอย่างกว้างขวางทั่วโลก มารมันยอมไม่ได้

ผมมีหลักฐานยืนยันด้วย คือ กรณีของสมีเควี่ยธัมมชโย ทั้งๆ ที่เป็นคนระยำจังไรที่สุดในยุคนี้  แต่มารไม่ขวางเรื่องเงิน  สนับสนุนเสียอีก

สมีเควี่ยธัมมชโยมันจึงหาเงินได้อย่างมหาศาล หลวงป๋ายังหาเงินสู้มันไม่ได้  นี่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้

โดยสรุป

การถวายอาหารให้พระพุทธเจ้านั้น  บุคลากรของวัดพระธรรมกายทำไม่ได้แน่ๆ อย่างที่หลวงป๋าตอบไว้ 

อย่างไรก็ดี  ในกรณีของคุณลุงการุณย์ บุญมานุชนั้น ธาตุธรรมท่านใช้ให้ “ปราบมาร” โดยให้ลุงเป็นฐานทัพ

เมื่อไหร่คุณลุงการุณย์เดินวิชา ธาตุธรรมทั้งหมดก็จะมาซ้อนอยู่ในกายของคุณลุง แล้วช่วยกันปราบมาร

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างนิพพานกับภพสามนั้น ควบคุมดูแลอยู่ตลอด

ด้วยบารมีดังกล่าว 

คุณลุงการุณย์จึงสามารถกลั่นอาหาร กลั่นจีวรไปถวายธาตุธรรม หรือพระนิพพานในอายตนะนิพพานได้

อย่างไรก็ดี  การถวายอาหารของคุณลุงการุณย์นั้น เป็นกรณียกเว้น ไม่มีใครทำได้อีกแล้ว

ดังนั้น คำตอบของหลวงป๋านั้น จึงถูกต้องในหลักการทั่วไป ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก แต่ไม่ถูกต้องมีพิจารณาในแง่วิชาธรรมกายชั้นสูง

เรื่องอาหารนี้  ผมเคยถามลุงเองว่า “ทำไปทำไม พระพุทธเจ้าท่านมีอาหารทิพย์ของท่านอยู่แล้ว

ลุงตอบว่า “ถ้าเป็นภาวะปกติ ไม่รบกันมาร ก็ไม่เป็นไร แน่ยุคนี้ เป็นยุครบกับมาร อาหารที่ถวายไปนั้น เหมือนกับวิตามิน หรืออาหารเสริม ทำให้พระองค์มีกำลังมากขึ้น

การถวายอาหารของคุณลุงการุณย์ บุญมานุชนั้น  ถวายเป็นลำดับอย่างนี้ คือ

1- นิพพานเป็น
2- นิพพานกายธรรม
3- อรูปพรหม
4- รูปพรหม
5- สวรรค์
รวมถึงจักรพรรดิทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวงที่อยู่ตามลำดับอย่างนั้นด้วย

ก็ลองคิดดูเอาเองเถอะว่า เราจะได้บุญบารมีขนาดไหน...








4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ30 มกราคม 2558 เวลา 01:12

    สาธุๆๆๆ

    ตอบลบ
  2. อาจารย์ เสริมชัย มงคลบุตร ท่าน อยู่ วัดปากน้ำ มานาน กับ ท่าน รอง ....... จาก หลวงปู่ สด

    น่าฟัง ....... และ ใช่มากกว่า ! ! [ อ. เสริมชัย มงคลบุตร คือ หลวง ป๋า ]

    ตอบลบ
  3. ผมเองก็ไปมาหลายสำนักแล้่ว ที่สุดของครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพสุดหัวใจ ในเวลานี้ก็คือคุณลุงการุณย์ บุญมานุช หลังจากที่ได้ศึกษาเรื่องราวของท่าน/อ่านตำราของท่านทุกเล่ม /ไปกราบท่านวันคำนวนบารมี/ได้ทำสร้างบารมีกับท่านด้วยชีวิตผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แล้วแต่วาสนาบารมีของใครของมันครับ

    ตอบลบ