บูชาข้าวพระ ใครทำได้บ้าง


จากบทความที่ 1 -6 ที่ผ่านมา พอสรุปเรื่องการนำอาหารไปถวายพระพุทธองค์ในนิพพานได้ว่า คนไทยทำกันมานานแล้ว  ทำกันทั่วประเทศไทยด้วย  ผู้ที่ทำเป็นคนแรกก็คือ พระอานนท์

ในการถวายอาหารพระพุทธเจ้านั้น มีหลักฐานปรากฏอยู่ในปัจจุบันก็คือ มีทั้งคำถวายข้าวพระพุทธ และคำลาพระพุทธ  

สำหรับคำลาข้าวพระพุทธนั้น เด็กวัดส่วนใหญ่ จะชำนาญเป็นอย่างดี เพราะทำบ่อยมาก เมื่อต้องการอาหารที่ผ่านการฉันของพระมาก่อน  เพราะ ข้าวพระพุทธนั้น จะอยู่ตรงส่วนหน้าของพระพุทธรูป พระท่านไม่ได้ฉันอาหารในส่วนนี้

การถวายข้าวพระพุทธนั้น มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผู้ที่ไม่เห็นด้วยเป็นพระภิกษุก็มี ส่วนใหญ่แล้ว เห็นว่า พระพุทธองค์จะไม่ทรงฉันอาหารเหล่านั้น

การถวายข้าวพระพุทธของคนทั่วๆ ไป ไม่เหมือนกับของแม่ชีทองสุก เนื่องจากประชาชนทั่วๆ ไปนั้น ถวายเฉยๆ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ฉันขอทำตามประเพณีก็แล้วกัน

แต่การถวายข้าวพระพุทธของแม่ชีทองสุกนั้น  ท่านใช้วิชาธรรมกายเพื่อกลั่นอาหารให้ละเอียดเท่ากับอายตนะนิพพาน แล้วจึงจะถวายอาหารนั้นต่อพระพุทธเจ้า

การถวายข้าวพระพุทธของพุทธศาสนิกชนทั่วไปนั้น ทำตามประเพณี ไม่ได้คำนึงถึง “บุญ” หรือ “บารมี” เป็นกรณีพิเศษ  แต่การ “บูชาข้าวพระของพระธัมมชโย” พระธัมมชโยได้โปรโมทและประชาสัมพันธ์ว่า ได้บุญมหาศาล อย่างที่ไม่เคยได้มาก่อนเลยทีเดียว

ในการลงทุนค่าอาหารใน “การบูชาข้าวพระ” ของพระมมชโยนั้น ผู้ที่เคยเป็นศิษย์มาก่อน เขียนลงในเฟสบุ้คว่า “ใช้เงินในการจัดทำอาหารอย่างต่ำ 10 ล้านขึ้นไป


อยากจะบอกว่าค่าอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ ดอกไม้ที่วัดคลองสามจัดบูชาข้าวพระ ครั้งหนึ่ง ไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน ดอกกุหลาบสีรุ้ง นำเข้า ดอกละ 1,200 บาท อาทิตย์ต้นเดือนสั่งจำนวน 300 ดอก

ทุกอย่างต้องหรูเลิศสุดเลิศ  ผลไม้คัดสุดๆ เป็นรอยนิดเดียว คัดออก

ผมรู้แม้กระทั่งร้านที่เจ้าภาพแต่ละท่านสั่งของมา พวงมาลัยมะลิล้วนพวงละ 1,700 บาท จากร้านทิพย์มาลา

เงินจำนวนเหล่านั้น  เอาเงินไปช่วยเหลือนักเรียนในชนบทได้หลายโรงเรียนเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบของคุณลุงการุณย์ เมื่อคุณลุงปราบมารไปได้แล้ว 10 กว่าปี ผลปรากฏออกมาว่า “ที่ทำไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งสิ้น ไม่ถึงพระพุทธองค์เลย” 

ที่คุณลุงทำมากับแม่ชีทองสุก แม่ชีจันท์ และแม่ชีเธียรนั้น  ลุงบอกกับลูกศิษย์เองว่า “มาร มันเอาไปกินเรียบ

การถวายข้าวพระพุทธ การบูชาข้าวพระ ฯลฯ นั้น เป็นโทษต่อคนทำด้วย เพราะ เมื่อไปไม่ถึงพระพุทธองค์  มารเอาไปกินเอง เป็นการเพิ่มพลังให้มารอีกด้วย

มารมันมีกำลังมาต่อสู้กับภาคขาวอีก  ดังนั้น ใครทำพิธีบูชาข้าวพระ หรือถวายข้าวพระพุทธ จึงทำตัวเป็น “ปฏิปักษ์” ต่อธรรมะภาคขาว  ตายไปแล้วไปอบายภูมิทุกคน โดยเฉพาะสาวกของพระธัมมชโย

คุณลุงการุณย์สั่งห้ามลูกศิษย์ทุกคน ห้ามทำเป็นเด็ดขาด หมายถึงว่า ทำแบบประชาชนทั่วๆ ไป เพราะ การทำแบบคุณลุงทำนั้น ไม่มีใครทำได้อยู่แล้ว

การที่คุณลุงบอกว่า ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ไม่มีใครทำได้ และในอนาคตข้างหน้า ก็ไม่มีใครทำได้  แต่คุณลุงทำเดียวคนเดียวนั้น  มีความน่าเชื่อถือหรือไม่อย่างไร

ในฐานะที่ผม “ต้อง” เข้าร่วมพิธีถวายอาหารพระพุทธเจ้าทุกครั้ง ใน 1 เดือน ผมจะไปเข้าร่วมพิธี 4 ครั้ง  คือ ถวายอาหารทะเล 3 ครั้ง ถวายอาหารในการประชุมประจำเดือนของวิทยากร 1 ครั้ง

ผมขอยืนยันว่า ที่คุณลุงกล่าวไว้นั้น เป็นความจริง

หลักฐานสนับสนุน

1) หลักฐานทางอ้อม จากการสอนของวิทยากรต่างๆ รวมถึงตัวผมเองด้วย

การสอนให้นักเรียนให้ดวงธรรมนั้น ไม่มีลูกศิษย์คณะใดของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างเช่น วิทยากรของคุณลุงการุณย์  ซึ่งสามารถทำได้ร้อยละ 95 ขึ้นไป ต่อการสอนในแต่ละครั้ง

การสอนให้นักเรียนมีดวงตาเห็นธรรม จนเห็นดวงธรรมในตัวของนักเรียนเองได้นั้น เห็นมีก็แต่ในสมัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ในสมัยของหลวงพ่อวัดปากน้ำตอนที่ยังไม่ชีวิตอยู่ ก็ยังไม่ได้ผลเฉียบขาดถึงขนาดนี้  นี่ไม่ได้หมายความว่า คุณลุงทำงานเก่งกว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำ แต่เป็นเพราะหลวงพ่อวัดปากน้ำควบคุมได้เต็มที่ 

หลวงพ่อวัดปากน้ำภาคต้นธาตุนั้น ทำงานได้ดีกว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำภาคมนุษย์ เพราะ เป็นสมภารวัด ภารกิจ ภาระรับผิดชอบมีมากมาย

2) ผู้ที่ได้วิชาธรรมกายชั้นสูง ที่เป็นลูกศิษย์ของคุณลุงมีหลายสิบคน เมื่อไปทำพิธีถวายอาหารทะเล พวกนั้นก็ทำวิชาตามคุณลุงไปด้วย ก็เห็นทุกอย่างตามที่คุณลุงเล่าให้ฟัง

กลุ่มที่ได้วิชาชั้นสูงนี้ ไม่เคยพลาดพิธีการถวายอาหาร และพิธีการถวายอาหารทะเล ถ้าตัวไม่มี ก็ฝากเงินมาทำ...

ก่อนจบบทความนี้ ขออธิบายว่า ทำไมการถวายอาหารพระพุทธเจ้านั้น ได้บุญบารมีมหาศาล และทำไม พระพุทธองค์ต้องทรงฉันอาหารอีก

ขออธิบายเรื่องการได้บุญบารมีของพุทธศาสนิกชนก่อน

คนทุกคนจะมีดวงบุญดวงบาปอยู่ในตัวเอง เป็นดวงละเอียด ต้องดูด้วยวิชาธรรมกาย จะอยู่ตรงฐานที่ 7 เหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือ

เมื่อเราทำบุญ พระพุทธเจ้าจะทรงคำนวณบุญบารมีให้ ดวงบุญของเราก็จะใหญ่ขึ้น ใสสว่างขึ้นไปเรื่อยๆ 

ในกรณีที่เป็นการถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้านั้น เป็นการถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้าที่มีมาแล้ว นับอสงไขยองค์ไม่ถ้วน  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงทรงคำนวณบารมีให้  โดยเหตุผลดังกล่าว การถวายอาหารจึงได้บารมีมาก

สำหรับคำถามที่ว่า พระพุทธเจ้าอยู่ได้ด้วย อำนาจบุญบารมีเดิมอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องเสวยอาหารที่ถวายขึ้นไปเลย

ตรงนี้ขออธิบายว่า คนเราทั่วๆ ไป ก็รับประทานอาหารเป็นปรกติอยู่แล้ว แต่ทำไมคนต้องรับประทานอาหารเสริมด้วย

ด้วยหลักการเดี๋ยวกัน  อาหารที่คุณลุงการุณย์ บุญมานุชถวายขึ้นไปนั้น ถือเป็นอาหารเสริมให้พระองค์ที่กำลัง เพื่อที่จะไปต่อสู้กับมารได้..



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น