การอุทิศส่วนบุญ


มีเรื่องเข้าใจผิดอย่างมากเกี่ยวกับการอุทิศส่วนบุญให้กับคนตายของพุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่งในเมืองไทยของเรา

เว็บบ้านธัมมะของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงปัจจัยของการจะได้รับส่วนบุญว่า ประกอบด้วยปัจจัย 3 ประการ ดังนี้

  • 1. มีผู้อุทิศให้
  • 2. เกิดในฐานะที่จะรับได้ คือเป็นเปรต
  • 3. สัตว์นั้นอนุโมทนา

ความเชื่อดังกล่าวนั้น น่าจะมาจากเรื่องเปรตที่เป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสาร

ขอเล่าสั้นๆ ดังนี้

ในอดีตชาติเปรตที่ปรากฏในพระสูตรนี้ กับพระเจ้าพิมพิสารเป็นญาติกัน  เปรตนั้นทนทุกข์ทรมานมานานนับเป็นกัปๆ

ชาตินี้รู้ว่า ญาติ คือ พระเจ้าพิมพิสารทำบุญกับพระพุทธองค์ ก็คิดว่าจะได้บุญนั้นบ้าง เนื่องจากอดอยากหิวโหยมานานมาก แต่พระเจ้าพิมพิสารไม่รู้เรื่อง จึงไม่อุทิศส่วนบุญ จึงส่งเสียงร้องโหยหวน 

เมื่อได้ยินเสียงโหยหวนของบรรดาเปรต พระเจ้าพิมพิสารจึงไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงแนะนำให้ทำบุญ และอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่เป็นเปรตเหล่านั้น

เมื่อพระผู้มีพระภาคและหมู่สงฆ์ ทรงทำภัตรกิจเสร็จแล้ว ทรงแนะให้พระราชาพิมพิสาร ทรงหลั่งน้ำอุทิศผลบุญแก่หมู่เปรตด้วยคำว่า  “อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหตุ ญาตะโย

ขอผลบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงเป็นสุข เป็นสุข เถิด

เมื่อพระราชาพิมพิสาร ทรงหลั่งน้ำ ขณะนั้นสระโบกขรณีอันประกอบด้วยดอกปทุม ก็บังเกิดแก่บรรดาเปรตเหล่านั้น ให้ได้ดื่มกิน อาบชำระล้างร่างกาย บรรเทาความกระหาย หมดความกระวนกระวายลงไปด้วยพลัน

อีกทั้งยังมีผิวพรรณเหลืองอร่ามดุจทองเนื้องามดูแล้วเจริญตา ร่างกายที่พิกลพิการก็กลับคืนดังคนปกติที่งามสง่า

อีกทั้งยังได้รับความซึมซาบ จากอาหารทั้งคาวและหวานที่เป็นทิพย์ทำให้ร่างกายที่ผอมแคระแกร็น ก็กลับกลายมีน้ำมีนวลอ้วนพี มีความสุข อิ่มเอิบ ที่ได้รับซึมซาบจากรส


พระราชาพิมพิสาร ครั้นได้เห็นอานิสงส์ในการให้ทาน และอุทิศผลบุญแก่บรรดาหมู่เปรตที่เป็นญาติ ทำให้ผู้จมทุกข์มีความสุขเห็นปานนี้ทรงมีความรื่นเริงยินดี เลื่อมใสศรัทธาในการทำทานมากยิ่งขึ้น จึงทรงทูลอาราธนาพระบรมศาสดาและภิกษุสงฆ์ มารับทานต่ออีก ๗ วัน

พระบรมศาสดาพร้อมหมู่สงฆ์ เมื่อได้ทรงฉลองศรัทธา แก่องค์ราชาพิมพิสารสิ้นเวลา ๗ วันแล้ว จึงทรงกล่าวอนุโมทนาคาถาว่า

การทำบุญ เพื่ออุทิศผลบุญแก่เปรตนั้น ชื่อว่าเป็นการบูชาญาติอย่างยิ่ง พวกเปรตเมื่อได้รับผลบุญแล้ว ย่อมพ้นจากอัตภาพของเปรตในทันที

ความเชื่อที่ว่า “เปรต” เท่านั้นที่จะได้รับการอุทิศส่วนบุญประเภทเดียวเท่านั้น ไม่ถูกต้องทีเดียวนัก 

ความเชื่อที่ว่า เชื่อกันไปถึงว่า เทวดา รูปพรหม อรูปพรหม มีความสุขแล้ว ไม่ต้องรับอุทิศส่วนบุญ นี่ก็ไม่ถูกต้อง 

โดยหลักการที่ถูกต้องแล้ว เราสามารถอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไปแล้วได้ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่สุคติภูมิ หรืออบายภูมิ  อันนี้หมายความรวมถึงเพื่อนฝูง คนที่รู้จักกัน หรือใครก็ได้ด้วย

ปัจจัยมี 4 ประการคือ
1) รู้เห็นเหตุการณ์ในการทำบุญกุศลนั้น
2) ผู้ทำบุญกุศลมีเจตนาส่งผลบุญให้
3) อนุโมทนาผลบุญด้วย
4) เป็นพระจริง ไม่ใช่พระปลอม (รวมถึงพระปราชิกไปแล้วด้วย)

ขอยกตัวอย่างการทำบุญตักบาตรโดยทั่วไป

การทำบุญตักบาตรโดยทั่วไปนั้น ญาติพี่น้องโดยทั่วไปที่ไปสุคติภูมิหรืออบายภูมิจะไม่รู้เรื่อง ส่วนเปรตที่เป็นญาติกัน (ถ้ามี) มารอรับส่วนบุญ เราก็ไม่รู้ จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญ

หรือที่กล่าวมาข้างต้นถูกต้อง ถ้าเราซวยไปทำกับพระปราชิกหรือพระปลอม ญาติก็ไม่ได้รับส่วนบุญอีกเช่นเดียวกัน

สมมุติว่า เราทำบุญตักบาตรหรือสร้างกุศลใดๆ และมีคนรู้เห็น และเราก็ยินดีในการอุทิศส่วนบุญอยู่แล้ว  แต่คนที่เห็นอิจฉาหรือริษยา นึกในใจอย่างละครทีวีว่า “ทำบุญอยากได้หน้า หมั่นไส้นัก” 

อย่างนี้ก็ไม่ได้อีก เพราะ ไปอิจฉาเขา ไม่ได้นึกอนุโมทนาไปกับเขา

จุดอ่อน ข้อบกพร่อง ข้อจำกัดที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น วิชาธรรมกายแก้ไขได้ทั้งหมด

ถ้าจะกล่าวกันอย่างเป็นวิชาการก็คือ วิชาธรรมกายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการอุทิศส่วนบุญให้ญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว

ขออธิบายให้เห็นภาพพจน์ ดังนี้

1) รู้เห็นเหตุการณ์ในการทำบุญกุศลนั้น

วิชาธรรมกายสามารถไปตามญาติมารับรู้เรื่องราวของการทำบุญกุศลของเราได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ที่ไหน 

กรณีของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น สุดยอดคือ แค่บอกชื่อกับนามสกุล หลวงพ่อสามารถไปตามมาได้แล้ว  ส่วนของคุณลุงนั้น ต้องมีรูปให้ดูด้วย ถึงจะไปตามตัวมาได้ถูก

ไม่มีรูปไม่ได้  เดี๋ยวมารมันปลอมตัวมารับเอาส่วนบุญไป

2) ผู้ทำบุญกุศลมีเจตนาส่งผลบุญให้

อันนี้ เราเต็มใจอยู่แล้ว ถึงขนาดใช้วิชาธรรมกายไปตามมาเพื่อให้ได้ส่วนบุญ มันก็ต้องเต็มใจให้กันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว

3) อนุโมทนาผลบุญด้วย

อันนี้ ญาติของเรา เพื่อนของเรา คนที่มีบุญคุณต่อเรา คนที่เราเคยรู้จัก เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา ก็เต็มใจอนุโมทนาผลบุญด้วยอยู่แล้ว

ศัตรูของเรา เราก็ไม่เชิญเข้ามาอยู่แล้ว

4) เป็นพระจริง ไม่ใช่พระปลอม (รวมถึงพระปราชิกไปแล้วด้วย)

หัวข้อนี้ คือ จุดแข็งที่สุดของสายวิชาธรรมกาย โดยเฉพาะการถวายอาหารทะเลของคุณลุงการุณย์ บุญมานุช สามารถถวายให้ธาตุธรรมภาคขาวได้ทั้งหมด

เนื่องจากคุณลุงปราบมารมาทั้งหมด ตั้งแต่วันแรกถึงปัจจุบันก็ประมาณ 27 ปี ปราบมารได้จนสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ  คุณลุงจึงนำอาหารไปถวาย

  • 1) พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตั้งแต่ที่เคยมีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็น
  • 2) จักรพรรดิทุกพระองค์นับอสงไขยไม่ถ้วน รวมถึงจักรพรรดิในทวีปอื่น จักรวาลอื่นๆ ด้วย
  • 3) เทวดา รูปพรหม อรูปพรหมทั้งหมด

ขอให้ผู้อ่านลองคิดดูว่า การถวายอาหารทะเลในแต่ละครั้ง ผู้ที่เข้าไปร่วมงานจะได้บุญบารมีขนาดไหน และญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเราจะได้บุญบารมีไปร่วมด้วยขนาดไหน

ขนาดทำบุญกับพระอรหันต์ที่ออกจากนิโรธยังได้บุญอย่างมากอย่างจินตนาการไม่ได้  การทำบุญถวายอาหารทะเลนั้น เราได้บุญอย่างที่สุดจะจินตนาการได้เลย

ขอบอกให้รู้เป็นการทั่วไปว่า “บุญนั้นสร้างได้ไม่จำกัด ส่วนบาปนั้น จำกัด” 



17 ความคิดเห็น:

  1. หมุนขวา ได้เพราะ ดร.มนัสฯ18 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:36

    สวัสดีครับ ท่านดร.มนัสฯ
    ผมขออนุโมทนาบุญกับท่านดร.ด้วยครับ
    ที่ท่านเป็นวิทยากรสอนปฏิบัติธรรมเพื่อ“สร้างสมบุญบารมี”
    วัดลัฏฐิวนารามในช่วงวันมาฆะบูชาที่ภูเก็ตที่ผ่านมา

    และเมื่อวันศ.มาฆะบูชา ที่ผ่านมาเช่นกัน
    ผมได้พาพี่ชายไปถวายอาหารทะเลตามที่ท่านดร.บอก นั้นเป็นครั้งแรกด้วยครับ
    และในวันส.ที่ 22 นี้ก็เช่นกันผมจะพาพี่ชายไปถวายอาหารทะเลอีกครับ
    ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อยากให้บุญช่วยตัดวิบากกรรมให้เขาเดินได้ไวๆ
    เพราะพ่อรอให้เขาพาไปทำบุญอยู่

    ตั้งแต่ผมติดต่อท่านดร.ฯผมก็ระลึกนึกถึงท่านดร.ตลอดเลยครับ
    ตอนไปถวายอาหารทะเลก็เช่นกัน
    ผมมีเรื่องเล่าและคำถามส่งให้ท่านดร.ฯที่ gmail ด้วยนะครับ
    ขอบพระคุณอย่างสูงครับ

    ตอบลบ
  2. 1) ที่อนุโมทนาบุญมา ก็ให้ได้รับผลบุญตามเจตนา

    2) วันเสาร์มีรูปภาพใครก็เอาไปให้หมด แต่ลุงอาจจะช่วยทีละคน 2 คน วันหลังเอาไปใหม่

    3) เรื่องพี่ชายคุณ ผมจะจัดการให้ในวันเสาร์

    4) ผมเป็นคู่บารมีของลุงมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว ดังนั้น ถ้าผมให้ลุงทำอะไรให้ ลุงจะทำให้อย่างดี รู้สึกว่าจะมีอาจารย์ประเสริฐอีกคน คนอื่นๆ ไม่ได้อย่างนี้

    5) ท่องเตรียมสอบเป็นวิทยากรด้วย จะได้ช่วยญาติได้ง่ายขึ้น

    การเป็นวิทยากรนั้น ใหม่ๆ อาจจะไม่ต้องสอนเอง แต่ช่วยอย่างอื่น อย่างเช่นกลุ่มของอาจารย์ประเสริฐ ถ้าไม่ว่างจริงๆ ก็ช่วยเรื่องเงิน ให้เขาไปสอน

    การเป็นวิทยากรได้บุญมหาศาล และลุงจะเกรงใจวิทยากร ขนาดทำผิด ลุงยังต้องขอโทษที่หน้าห้องประชุมเลย ดังนั้น การเป็นวิทยากรจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก


    ตอบลบ
  3. หมุนขวา ได้เพราะ ดร.มนัสฯ18 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 06:49

    ได้รับทราบคำตอบจากท่านดร.แล้วครับ
    วันเสาร์นี้ไปครับ พาพี่ชายไป
    ครั้งนี้มีไปทั้งหมด 5 คน แล้วผมจะโทรบอกคุณรักเกศครับ
    เป็นพระคุณอย่างสูงเลยครับที่ท่านได้เมตตาชี้แนะ
    ขอขอบคุณท่านดร.มนัสฯครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. โทรไปบอกรักเกศเลย อย่าให้เกินวันพุธ รักเกศเป็นคนค่อนข้างซีเรียสในเรื่องนี้

      ถามกันให้ดี บอกให้ตรงว่า ไปกี่คน บอกว่าไป 5 คน วันไปเหลือ 4 คน รักเกศค่อนข้างไม่ชอบใจ

      บอกว่า 4 คน แต่วันไปเพิ่มอีกคนหนึ่ง เป็น 5 คน ก็ยังพอรับได้

      ลบ
    2. บอกด้วยว่า ไปเพราะ ผมแนะนำให้ไป

      ลบ
  4. เพิ่งนึกออกอีกเรื่องนึงครับท่านดร.ฯ
    ผมอยากได้ดวงแก้วขนาดที่วิทยากรท่านสอน 2 ดวงครับ
    ให้พี่ชาย 1 ดวงไว้บริกรรมนิมิต ถ้าท่านดร.มีผมขอร่วมบุญด้วยครับ
    ประมาณเท่าไหร่ผมจะได้จัดเตรียมไว้ให้ในวันเสาร์เลยครับท่าน

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไปดูวันเสาร์ จักรพรรดิมีเพียบ แจกฟรีก็มี ให้เช่าก็มี

      จักรพรรดิที่อยู่ในเรือน มาจากนิพพานทั้งหมด ท่านต้องการมาสร้างบารมีเพิ่มเติม

      ลบ
  5. ท่านดร.ครับ
    -ผมโทรบอกคุณรักเกศว่าท่านดร.แนะนำมา ตั้งแต่วันพุธเรียบร้อยแล้วครับ
    -นัดคนที่ไปทั้งหมด 5 คนเรียบร้อยแล้ว
    -ปริ๊นต์คู่มือการสอบวิปัสสนาจารย์ และให้พี่ชายไป 1 เล่มเรียบร้อยเช่นกัน
    -และได้บอกลูกหลานว่าเดี๋ยวจะพาไปเรียนวิชากับคณะฯที่วัดปากน้ำด้วย
    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  6. วันเสาร์ไปถึงร้านนภาเร็วๆ หน่อยก็ดี เพราะ ถ้าใครยังไม่ได้เรียน ก็จะมีเวลาเรียนได้ครั้งหนึ่ง

    แล้วก็จะมีเวลาถามลุงได้มาก ผมไปถึงบ้านลุงประมาณ 7.00 น. ลุงจะออกจากบ้านมาร้านนภา ประมาณ 8.30 น.

    คุณไปถึงร้านประมาณ 9.00 น. ก็น่าจะดี

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ7 มกราคม 2558 เวลา 00:15

    อ่านแล้วยังไม่เข้าใจคำว่า "บุญนั้นสร้างได้ไม่จำกัด ส่วนบาปนั้น จำกัด"

    รบกวนช่วยขยายความสร้างดวงปัญญาผมทีครับ

    ตอบลบ
  8. เรื่องบาปนั้น เอาพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง พระเทวทัตพอทำสงฆ์ให้แตกกัน ก็มีบาปสูงสุดสำหรับพระเทวทัตคือ ทำสังฆเภท อันเป็นอนัตตริยกรรม ก็ต้องตกนรกอเวจี

    พระเทวทัตมาทำร้ายพระพุทธองค์อีก ซึ่งก็เป็นอนัตตริยกรรมอีกครั้งหนึ่ง แต่บาปนั้น ก็ไม่เพิ่มขึ้น เพราะบาปของพระเทวทัตสูงสุดแค่นั้น

    สำหรับเรื่องบุญบารมีนั้น บารมีมี 10 ประเภท เมื่อสร้างครบ 30 ทัศแล้ว ก็จะได้เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าได้ตามการอธิษฐานบารมีที่ทำไว้แต่เดิม

    เมื่อเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังสร้างบุญบารมีต่อได้อีก ไม่มีที่สิ้นสุด

    เรื่องนี้ ถ้าเป็นจักรพรรดิแล้ว จะอธิบายได้ง่ายขึ้น จักรพรรดินั้นมีหน้าที่ดูแลศาสนา ดูแลพระพุทธเจ้า จักรพรรดิจึงต้องสร้างบารมีอยู่เสมอให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

    ดังนั้น เมื่อเราสร้าง "พระของขวัญ" รุ่นมูลนิธิศึกษาการุณย์ขึ้นมา จักรพรรดิจากอายตนะนิพพานจะมาอยู่ในพระ เพื่อสร้างบารมีเพิ่มเติม

    ตอบลบ
  9. ไม่ระบุชื่อ7 มกราคม 2558 เวลา 07:18

    แล้วทราบได้อย่างไรว่าพระของขวัญ มูลนิธิ จักรพรรดิที่สร้างเรือนมาจากนิพพาน อาจมาจากจักรพรรดิที่เป็นคู่บารมีกับเจ้าของพระก็ได้หรือเปล่าครับ

    ถ้าเป็นแบบที่ดร.บอกแสดงว่า
    1. พระของขวัญ มูลนิธิ ก็ต้องมีอานุภาพใกล้เคียงพระต้นปราบที่ได้หลังสอบวิทยากรใช่ไหมเพราะเป็นจักรพรรดิจากนิพพานเหมือนกัน
    2. จักรพรรดิในพระมูลนิธิก็ไม่ใช่คู่บารมีกับเจ้าของพระด้วยใช่หรือไม่ เพราะท่านได้มรรคผลนิพพานแล้ว แต่ลงมาสร้างบารมีเฉพาะกิจ

    ตอบลบ
  10. จักรพรรดิที่อยู่ในพระนั้น เราพูดคุยได้ ถามได้

    1- ต้องดูกายท่าน หลักการทั่วไป กายใหญ่กว่า ใสกว่า อาวุธมากกว่า จะมีบารมีมากกว่า อย่างไรก็ดี เรื่องกายใหญ่นั้น ระหว่างที่ผมกำลังโฆษณาให้เช่าพระอยู่แบบนี้

    จักรพรรดิท่านบอกกับอาจารย์ประเสริฐที่นั่งข้างๆ ว่า "บอก ดร. มนัสด้วย จักรพรรดิกายใหญ่ไม่ได้เก่งกว่าจักรพรรดิกายเล็กเสมอไป"

    2- จักรพรรดิคู่บารมี ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ฐานที่ 7 ของเรา มีบางส่วนเท่านั้น ที่ไปอยู่ ณ ที่อื่น เพื่อรอเราลงมาเกิด แล้วท่านจะพยายามพาเรือนของท่านมาหาเรา

    จักรพรรดิที่อยู่ในพระมูลนิธินั้น ส่วนใหญ่เป็นจักรพรรดิที่ลงมาสร้างบารมีเพิ่มเติม

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ7 มกราคม 2558 เวลา 21:46

    ทำไมพระเทวทัตถึงไม่ไปโลกันต์ในเมื่อทำอนันตริกรรมซ้ำๆ ทำบาปในลักษณะไหนถึงไปอยู่โลกันต์ครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. พระเทวทัตเป็นคนในศาสนาพุทธ เคยสร้างกรรมดีมาก่อน จึงตกอบายภูมิที่อยู่ในภพสาม นรกโลกันต์นั้น อยู่ต่างหากเลย ดังนั้น คนที่ทำน่าจะไม่ใช่คนในศาสนาพุทธ จึงไม่มีความดีอยู่เลย มีแต่ความชั่วล้วนๆ

      ลบ
  12. ไม่ระบุชื่อ7 มกราคม 2558 เวลา 21:52

    ผมว่าที่จะไปโลกันต์ ต้องเป็นบาปพิเศษจริงๆ นั่นคือเป็นผู้มีมิจฉาทิฐิสมบูรณ์แบบ เป็นมิจฉาทิฐิแบบเที่ยงแท้(นิยตมิจฉาทิฐิ) มีการทำบาปกรรมอยู่เป็นนิตย์ สะสมความชั่วดั่งพระโพธิสัตว์สั่งสมบารมี พูดง่ายๆ เลวบริสุทธิ์หรือเลว100% นั่นแหละครับ

    ตอบลบ
  13. ไม่ระบุชื่อ7 มกราคม 2558 เวลา 21:54

    ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับคำที่บอกว่า "บุญนั้นสร้างได้ไม่จำกัด ส่วนบาปนั้น จำกัด"

    มารก็มีการสร้างบารมีเหมือนกัน คือ การสร้างบาปแบบไม่จำกัด นั่นก็เป็นการสร้างบารมีของธาตุธรรมเค้า

    ลองมาพูดคุยแบบวิชาการแบบสร้างสรรกันครับ

    ตอบลบ