ถวายอาหารไม่ถึงพระพุทธเจ้า





ผมได้ไปอ่านเฟสบุ้กของใครไม่รู้ ยืนยันว่า “การถวายอาหารนั้น ไม่ถึงพระพุทธเจ้า” โดยไปนำหลักฐานมาจากคำตอบของพระเทพญาณมงคล (หลวงป๋า) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จังหวัดราชบุรี

ผมในฐานะที่เป็นผู้ยืนยันว่า “การถวายอาหารนั้น ถึงพระพุทธเจ้าแน่ๆ และได้บุญมากด้วย” ก็ต้องเดือดร้อนไปหาข้อมูลมาเพื่อโต้แย้งและหาความจริงกัน

ผมไปพบแหล่งข้อมูลดังกล่าว ในเว็บบอร์ดของวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จึงนำมาวิเคราะห์เจาะลึกกันเลย

หน้าเว็บดังกล่าวชื่อ “การกลั่นเครื่องไทยทาน ถวายพระพุทธเจ้าบนนิพพาน ได้บุญจริงหรือ?”  เนื้อหากระทู้ก็มีดังนี้

การไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง เขาจะกลั่นเครื่องไทยทาน ดอกไม้ ธูป เทียน อาหาร หวานคาว ของสาธุชนทุกท่านขึ้นไปถวายพระพุทธเจ้าบนนิพพาน แล้วสาธุชนก็จะได้บุญใหญ่มหาศาล

กล่าวคือ เราทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย โดยไม่เคยเว้นแม้เพียงวันเดียว ก็ยังไม่ได้บุญใหญ่เท่านั้นเลย จริงหรือไม่ครับ?

และวัดปากน้ำกับวัดสระเกศเคยทำไหมครับ? กรุณาชี้แจงให้สว่างด้วยครับ?

จะเห็นว่า คำถามนั้น เน้นไปที่วัดพระธรรมกาย ซึ่งมันเป็นวัดของมาร จึงอาหารจึงไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว  แต่คุณลุงการุณย์  บุญมานุชทำได้  เราจึงต้องมาวิพากษ์วิจารณ์กัน

หลวงป๋าแบ่งคำตอบออกเป็น 3 ประเด็น  ประเด็นแรกที่จะนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันก็คือ ประเด็นที่ว่า  กลั่นเครื่องไทยทานแล้ว นำไปถวายพระพุทธเจ้าในนิพพานนั้นจะถึงหรือไม่?

หลวงป๋าตอบไว้ ดังนี้

อาตมาขอเจริญพรว่า เครื่องไทยทานนั้น ไม่ถึงพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานที่แท้จริงแต่ประการใด  แม้จะมีผู้ติดตามดูและเห็นตามได้ก็ตาม

ทั้งนี้ เพราะธรรมชาติทุกอย่างในอายตนะนิพพานนั้น เป็นแต่ธาตุล้วนธรรมล้วน ซึ่งไม่ประกอบด้วยปัจจัย (เช่น ธาตุน้ำ ดิน ไฟ ลม) ปรุงแต่งที่พระท่านเรียกว่า อสังขตธาตุ อสังขตธรรม หรือเรียกว่า “สังขาร” ในภพ 3 นี้แต่ประการใดเลย

เพราะฉะนั้น ธรรมชาติใดๆ ที่เป็นสังขารกล่าวคือ ที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมเข้าไม่ถึงอายตนะนิพพานอย่างแน่นอน

ธรรมชาติในอายตนะนิพพานที่ว่า เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม อันไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง แม้ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ไม่มีในอายตนะนิพพานนั้น  

มีหลักฐานในพระไตรปิฎก ในนิพพานสูตรที่ 3 ว่า  “ภิกษุทั้งหลายอายตนะ (นิพพาน) นั้น มีอยู่ที่ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีแลอากาสานัญจายตนะก็ไม่ใช่  วิญญานัญจายตนะก็ไม่ใช่  อากิญจัญญายตนะก็ไม่ใช่  เนวสัญญานาสัญญายตนะก็ไม่ใช่”  และ  “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่..”

แต่เครื่องไทยทาน (อันได้แก่ ดอกไม้ ธูป เทียน อาหารหวานคาว) ซึ่งถ้าผู้ทรงวิชชานั้น ยังเป็นแค่โคตรภูบุคคล มิใช่พระอริยบุคคลวิชชานั้น ก็เป็นแต่เพียงโลกียวิชชา

แม้จะกลั่น (เครื่องไทยทานนั้น) ให้เห็นใสละเอียดยิ่งกว่าของหยาบที่มีผู้นำมาถวายก็เป็นได้เพียงแค่ของทิพย์ ซึ่งยังจัดเป็น “สังขาร” อันเป็นส่วนประกอบของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อยู่

เพราะฉะนั้น เครื่องไทยทานนั้น แม้จะกลั่นให้ดูเป็นของทิพย์ ดูเห็นใสละเอียดก็ตาม ย่อมจะเข้าไม่ถึงอายตนะนิพพานที่แท้จริงได้เลย

ก่อนอื่นผมขอบอกท่านผู้อ่านเสียก่อนว่า ผมเป็นลูกศิษย์หลวงป๋าเหมือนกัน  ผมไปวัดหลวงพ่อสดฯ ประมาณ 10 ปี  เห็นกายธรรมครั้งแรกก็ในวัดหลวงพ่อสดนี้

การเป็นวิทยากรของวัดหลวงพ่อสดฯ นั้น จะต้องผ่านวิชา 18 กายก่อน จึงจะสามารถเป็นวิทยากรได้ 

แต่การเป็นวิทยากรของคุณลุงการุณย์ บุญมานุชนั้น ถ้าเราสอบผ่านข้อสอบของการเป็นวิทยากรได้  เราก็สามารถทำหน้าที่เป็นวิทยากรได้ ผมจึงมาเป็นวิทยากรให้คุณลุงการุณย์ บุญมานุช อย่างที่ผมทำอยู่มาเกือบ 10 ปีแล้ว  

คำตอบในบทความนี้ ตอบกันอย่างเป็นวิชาการ ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทั้งสิ้น  คำตอบของผมนั้น จะนำมาจากประสบการณ์การสอนปฏิบัติธรรมของผมประกอบด้วย

เนื้อหาหลักก็คือ คำตอบของหลวงป๋า และหนังสือของคุณลุงการุณย์ บุญมานุช

เรามาสรุปข้อความของหลวงป๋าตรงนี้กันก่อน 

หลวงป๋า กล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในอายตนะนิพพานเป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นธาตุล้วนธรรมล้วน ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งใดๆ ไม่มีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม อย่างในภพ 3

ดังนั้น  อะไรก็ตามในภพ 3 นี้ อันประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้

หลวงป๋ายังย้ำอีกว่า คนในโลกนี้ ที่เป็นโคตรภูบุคคล ไม่เป็นอริยบุคคล วิชชาก็เป็นเพียงโลกียวิชชา แม้จะกลั่นอาหารได้ละเอียดอย่างไร ก็ไม่สามารถถึงอายตนะนิพพานได้เลย

คำตอบของหลวงป๋านั้น ตอบโดยอาศัยพระไตรปิฎกมาตอบ โดยบวกกับความคิดเห็นของท่านเข้าไปด้วย

ที่นี้ ผมขอให้ท่านผู้อ่านไปดูภาพด้านบนจำนวน 3 ภาพ  คือ ภาพกายธรรม ภาพพระพุทธชัยมงคล และภาพ 18 กาย

จะเห็นว่า กายธรรมนั้น มีจีวรด้วย  และในการปฏิบัติธรรมตามสายวิชาธรรมกายนั้น เราก็จะพบว่า กายธรรมมีจีวรทุกพระองค์ 

จีวรนั้นเป็นสีขาวใส บางคนที่จิตไม่ตกสูญ 100 %  อาจจะไม่เห็นจีวร แต่เห็นเป็นกายธรรมขาวใสเลย

คำถามสำคัญในกรณีนี้ ก็คือ ทำไม มีจีวรอยู่ในอายตนะนิพพาน

ขอให้ท่านผู้อ่านดูภาพ 18 กายอีกครั้งหนึ่ง  จะเห็นว่า กายโลกีย์แต่ละกายจะมี “เครื่องแต่งกาย” ทั้งหมด เราจะเรียกกันว่า “เครื่องทรง”  แต่เมื่อไปถึงกายธรรม ก็จะเป็นจีวร

ดังนั้น แสดงว่า เครื่องทรงต่างๆ นั้น จะละเอียดเข้าไปเรื่อยตามระดับชั้น  เมื่อผ่านจากโลกียะเข้าไปสู่กายโลกุตระ เครื่องทรงต่างๆ จึงเปลี่ยนเป็นจีวร

จะเห็นได้ว่า  ของที่เป็นสังขตธาตุ สังขตธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งทั้งหลายที่อยู่ในระดับโลกียะ ก็สามารถเข้าไปอยู่ในโลกุตระได้ 

แต่จะเปลี่ยนเป็น “อีกสิ่งหนึ่ง” ซึ่งเป็นอสังขธาตุ อสังขธรรม

นั่นก็แสดงว่า  อย่างน้อยก็มีหนทางหนึ่งทาง ที่ทำให้เครื่องไทยทานในภพ 3 สามารถเข้าไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้  โดยต้องเปลี่ยนสภาวะใหม่ทั้งหมด จาก สังขตธาตุ สังขตธรรม เป็น อสังขธาตุ อสังขธรรม

ตัวอย่างที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งก็คือ กายของเรานี่แหละ 

ข้อความด้านบนนั้น ผมเน้นไปที่เครื่องไทยทาน  แต่กาย 18 กายก็ยืนยันว่า ของในภพ 3 คือ กายของเรานั้น เมื่อละเอียดมากขึ้นก็ไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้

โดยสรุป  ข้อความด้านล่างของหลวงป๋าในกรอบสีเขียวนี้  ไม่จริง  

หลวงป๋า กล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในอายตนะนิพพานเป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นธาตุล้วนธรรมล้วน ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งใดๆ ไม่มีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม อย่างในภพ 3

ดังนั้น  อะไรก็ตามในภพ 3 นี้ อันประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้

อะไรก็ตามในภพ 3 นี้ อันประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง สามารถเข้าไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้ แต่ต้องเปลี่ยนสภาพไปโดยสิ้นเชิง คือ จาก สังขธาตุ สังขธรรม เป็น อสังขธาตุ อสังขธรรม






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น