อานิสงส์ของการถวายอาหาร


ก่อนจะเข้าเรื่องต่อไป ต้องขอเล่าเรื่อง นายปุณณะกับภรรยาผู้ถวายไม้สำหรับเคี้ยวเพื่อชำระฟัน น้ำ และอาหารให้กับพระสารีบุตรตอนที่ออกจากนิโรธสมาบัติ 7 วัน  บารมีนั้นทำให้ดินในพื้นนากลายเป็นทองคำ

ขออ้างอิงในด้านวิทยาศาสตร์ในประเด็นเรื่อง “เทคโนโลยีการเล่นแร่แปรธาตุ” ซึ่งเขียนโดย ศ.ดร. สุทัศน์ ยกส้าน

บทความดังกล่าวยืนยันว่า Ken Ledingham แห่งมหาวิทยาลัย Strathclyde ในสกอตแลนด์ เขียนบทความในวารสาร Journal of Physics D : Applied Physics ว่า เขาและคณะได้ประสบความสำเร็จในการทำทองคำให้เป็นปรอทได้

โดยการเปลี่ยนนิวเคลียส อาจจะใช้วิธียิงโปรตอนหรือนิวตรอนเข้าไปที่นิวเคลียส เพื่อทำให้นิวเคลียสนั้นแตกตัวหรือดูดกลืนมัน

แล้วเราก็จะได้ธาตุใหม่ทันที เช่น เวลาเราทำให้นิวเคลียสของทองคำได้รับอนุภาคโปรตอนเข้าไปเราก็จะได้นิวเคลียสของปรอท

ในทางกลับกัน นักวิทยาศาสตร์สามารถทำปรอทให้เป็นทองคำได้เช่นเดียวกัน 

พวกหัวหมอบางคนอาจจะสงสัยว่า “ถ้าทำได้จริง ทำไม ไม่เอาปรอทมาทำเป็นทองคำ แล้วเอาไปขายเสียเลย

ก็ต้องเฉลยว่า “ต้นทุนการทำ มันแพงกว่าทองคำธรรมชาติ”  จึงไม่มีใครทำเพื่อการค้าขาย เป็นการศึกษาในหลักวิชาการแต่เพียงอย่างเดียว

กลับมาที่เรื่องของปุณณกเศรษฐี บวกกับเรื่องบุญบารมีไปด้วย

ตรงนี้ ขอพาดพิงไปยังพวกนักปริยัติหรือพุทธวิชาการที่ชอบตีความเนื้อหาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้ากับวิทยาศาสตร์

การตีความอย่างนั้น ทำให้ศาสนาเสียหายมากมายในหลายๆ ด้าน ในด้านบุญบารมี พวกนี้ก็ทำของเสียอีกเช่นเคย

พวกนี้ไปอธิบายราวกับว่า เมื่อเราทำบุญ เราก็ได้บุญบารมีเป็นอัตโนมัติ  เมื่อเราทำบาป เราก็ได้บาปเป็นอัตโนมัติ ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น

เมื่อเราทำบุญ พระพุทธเจ้าเจ้าของศาสนาในขณะนั้น จะเป็นผู้ให้บารมี แต่ถ้าทำบาป พระพุทธเจ้าภาคมารเข้าก็จะให้บารมีบาป

ทั้งบุญ และบาป ต้องมีผู้จัดการ ไม่ใช่อธิบายอย่างนักปริยัติ เพราะ ไม่ค่อยเชื่อพระไตรปิฎก

กรณีของปุณณกเศรษฐี บุญใหม่ที่ทำกับพระสารีบุตร บวกบุญเก่าที่ทำมาเมื่อหลายชาติรวมกัน พระพุทธองค์จึงให้บุญบารมีแบบเฉียบพลัน ทำให้ดินในท้องนากลายเป็นทองคำได้ ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ก็ทำได้เช่นเดียวกัน

ในเมื่อนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นคนธรรมดายังทำได้  ในกรณีของปุณณกเศรษฐีนี้ ธาตุธรรมท่านก็ทรงทำให้ จึงเกิดเหตุการณ์และมีการบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก

กลับมาเข้าเรื่องของการถวายอาหารทะเล หรือถวายอาหารอะไรก็ตามให้กับพระพุทธเจ้าว่า จะได้บุญบารมีขนาดไหน

1) ในกรณีของชาวบ้านทั่วไปที่ถวายข้าวพระพุทธนั้น บุญบารมีไม่ได้ เพราะ ทำไม่ถึงพระพุทธองค์ แต่ก็ไม่มีโทษอะไรนัก เพราะ มารและสาวกมารที่ไม่มีฤทธิเดชเท่าไหร่นัก มากินไปเท่านั้น

แต่จะได้ “พุทธานุสสติ” คือ การระลึกถึงพระพุทธเจ้า

2) กรณีของพระธัมมชโย อันนี้นอกจากจะไม่ได้บุญบารมีแล้ว ยังกลับเป็นโทษเสียอีก เพราะ ทำเสียอย่างดี แต่มารเอาไปกินหมด  เป็นการบำรุงมาร และสร้างมารใหม่ๆ ขึ้นมา
พระธัมมชโยไม่เห็นดวงธรรม ไม่มีวิชาอะไรเลย มีแต่วิชาหลอกลวงประชาชน ดังนั้น อาหารไม่ว่าจะทำดี ประณีตเพียงไร ก็ไม่ถึงพระพุทธเจ้า เป็นการบำรุงมารเท่านั้น

พวกที่ไปร่วมพิธีไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็มีโทษไปด้วย โทษหนักเสียด้วย เพราะ กระทำตัวเป็นปรปักษ์ต่อธาตุธรรมฝ่ายขาว

3) กรณีของคุณลุงการุณย์ บุญมานุช  คุณลุงปราบมารมาเป็นสิบๆ ปี  จึงสามารถทำพิธีนี้ได้ และทำได้คนเดียวเท่านั้น ตั้งแต่อดีตที่ผ่าน จนกระทั่งในอนาคตข้างหน้า  ลูกศิษย์ลุงไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สามารถทำได้

วิธีทำ (อ่านแล้วไม่เข้าใจก็ถูกแล้ว ผมสัมภาษณ์เองก็ยังไม่เข้าใจ  “รู้ไว้” ก็พอ)

1) ทำวิชา 18 กายอนุโลม-ปฏิโลมจนกายใส

2) ยกอาหารขึ้น ตั้งเครื่อง หมุนขวา

3) อาราธนาให้จักรพรรดิเข้าบังคับเครื่อง หมุนขวา แล้วยิงอาหารไปถวายพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต ทั้งนิพพานกายธรรมและนิพพานเป็น  รวมถึงจักรพรรดิทุกพระองค์ด้วย

4) อาหารที่จักรพรรดิเดินเครื่องไปถวายนั้น ก็จะเอิบ อาบ ซึม ซาบ ปน เป็น ฯลฯ เข้าไปในธาตุธรรมทั้งหมด

5) วิทยากรบางคน ทำวิชาตามไปดู  บางครั้งพระพุทธองค์ก็ทำเหมือนกับพระฉันอาหารให้ดู

ดังนั้น จึงขอสรุปว่า การถวายอาหารทะเลหรือถวายอาหารธรรมดาก็ตามที่คุณลุงทำขึ้นนั้น ได้บารมีมากมายมหาศาลจริง เพราะ อาหารนั้น ถวายธาตุธรรมทั้งหมดอย่างนับไม่ถ้วน

ดวงบารมีของผู้ที่เข้าไปร่วมพิธีนั้น ใหญ่ขึ้นและใสขึ้นอย่างทันทีทันใด สามารถตรวจสอบได้ทันที

สำหรับ บางคนสงสัยว่า ทำบุญอาหารทะเลไม่เห็นทำให้คนทำรวยขึ้นเลย 

ขอตอบว่า “เป็นการตั้งคำถามที่ผิด เพราะ สร้างบุญบารมี ก็ได้บุญบารมีอย่างทันทีทันใด” ถูกต้องตามหลักวิชาแล้ว

แต่การที่บุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์ละเอียดนั้น จะกลายเป็นสมบัติในมนุษยโลก ยังไม่ปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย  ไม่ใช่ว่า ถวายอาหารทะเลแล้วจะถูกหวยรางวัลที่หนึ่งกันทุกคน...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น