หลวงพ่อฯ ไม่เคยถวายอาหารพระพุทธเจ้า


  

ในการตอบปัญหาเรื่อง การถวายเครื่องไทยธรรมให้กับพระพุทธเจ้า ตามที่มีผู้ถามในการอบรมพระประจำปีของวัดหลวงพ่อสดฯ นั้น  หลวงป๋าแบ่งคำตอบออกเป็น 3 ประเด็นหลัก 

ผมได้อธิบายโต้แย้งไปแล้ว 2 ประเด็น บทความนี้ จะกล่าวถึงประเด็นที่ 3  หลวงป๋าได้ตอบประเด็นที่ว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำไม่เคยถวายอาหารพระพุทธเจ้าไว้ ดังนี้

วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่ต้นธาตุต้นธรรมของวิชชาธรรมกาย เขาจึงไม่ได้ทำเช่นนั้น

ที่วัดสระเกศ ซึ่งผู้ให้การอบรมพระกัมมัฏฐานผู้เป็นศิษย์ผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกายมาก็มิได้ทำเช่นนั้น

เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ซึ่งเป็นต้นวิชชาธรรมกายก็มิได้เคยสั่งสอน หรือแนะนำให้ศิษยานุศิษย์คนใดให้ทำเช่นนั้น

และท่านก็ไม่เคยรับรองหรืออนุมัติวิชชาถวายเครื่องไทยทาน โดยการถือว่ากลั่นเป็นของทิพย์นำขึ้นถวายพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพาน แล้วมีผลเป็นกุศล มหาศาลยิ่งใหญ่กว่า

การทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย โดยไม่เคยเว้นแม้เพียงวันเดียว แต่ประการใดเลย

การจะที่โต้แย้งคำตอบนี้ ของหลวงป๋า เราต้องแบ่งยุคสมัยออกเป็น 2 ยุค คือ ยุคที่หลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่ กับเมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว

ตอนที่หลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่เคยถวายอาหารพระพุทธเจ้าจริงๆ 

แต่ตอนนี้หลวงพ่อวัดปากน้ำอยู่ระหว่างนิพพานกับภพ 3 ตามคำสั่งของธาตุธรรม  ท่านมาควบคุมการถวายอาหารพระพุทธเจ้าทุกครั้ง

ตรงนี้ขอกล่าวถึงความเชื่อที่ว่า “หลวงพ่อวัดปากน้ำอยู่ระหว่างนิพพานกับภพ 3” สักนิดหนึ่ง

ความเชื่อดังกล่าวนั้น ผมไม่เชื่อ และผมเถียงหัวชนฝามาแล้ว เมื่อผมได้ยินได้ฟังครั้งแรกจากวัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามนี่แหละ

เพื่อนที่ไปเข้าอบรมปฏิบัติธรรมประจำปีเล่าให้ฟัง ระหว่างคุยกันเล่นๆ ว่า “ตอนนี้ หลวงพ่อฯ อยู่ระหว่างนิพพานกับภพ 3 ยังไม่เข้าอายนตะนิพพาน”

ในตอนนี้ ผมยังมีความเชื่อว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำน่าจะเป็น “พระโพธิสัตว์” มากกว่าที่ว่าจะบรรลุมรรคผลนิพานแล้ว

ผมก็เลยเถียงว่า “เป็นไปไม่ได้”  คนตายไปแล้ว จะไปอยู่ไหนก็ไปใน 31 ภูมินี้ หรือจะเข้าอายตนะนิพพานก็เข้าไปเลย  จะมาอยู่ “ระหว่าง” ภพ 3 กับนิพพานได้อย่างไร

การเถียงนี้ ไม่ใช่ครั้งเดียวนะครับ  เถียงกันแบบหน้าดำคร่ำเครียด จะเอาเป็นเอาตายกันเลยทีเดียว

สุดท้ายเลย คนที่เริ่มต้นเรื่องนี้ขึ้นมา จำได้ว่าท่านมีอาชีพเป็นตำรวจ ก็บอกว่า “ต่อไป ข้างหน้าคุณก็จะรู้เอง

ถึง ณ ตอนนี้ ผมเชื่อเรื่องนี้แล้ว  จากการไปสอนปฏิบัติธรรม จากความรู้ที่ได้รับเพิ่มเติม  

ดังนั้น ความรู้ที่ว่า “ตอนนี้ หลวงพ่อฯ อยู่ระหว่างนิพพานกับภพ 3 ยังไม่เข้าอายนตะนิพพาน” จึงเป็นความรู้ที่ตรงกัน

เมื่อผมต้องการปรึกษาหรือขออนุมัติในการทำเรื่องใดๆ ผมก็มักมาถามตอนไปร่วมพิธีถวายอาหารทะเลนี่แหละ

การถามของผมนี่ ผมถามผ่านคุณลุงการุณย์ บุญมานุชนะครับ  เพื่อว่าบางท่านจะมาโจมตีภายหลังว่า รู้ญาณของผมผิด

ในการถามแต่ละครั้ง แต่ละเรื่อง คนที่ไปร่วมพิธีถวายอาหารทะเลจะเป็นประจักษ์พยานให้ทุกครั้ง

คนที่คิดและทำเรื่องการถวายอาหารพระพุทธเจ้าคือ แม่ชีทองสุก สำแดงปั้น 

ในการทำพิธีแต่ละครั้ง หัวเรือใหญ่อีก 2 ท่านก็คือ แม่ชีจันท์ ขนนกยูง และแม่ชีเธียร ธีระสวัสด์  ฆราวาสซึ่งไปร่วมพิธีเป็นประจำก็คือ คุณลุงการุณย์ บุญมานุชนี่แหละ

ตรงนี้ ไม่มีหลักฐานหรือเรื่องเล่าใดๆ ว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย หรือมีการห้ามหรือไม่

ต่อมา ถึงคำตอบของหลวงป๋าที่ว่า “วัดสระเกศ” กับ “วัดปากน้ำ” ปัจจุบันไม่ทำ ก็เป็นจริงตามนั้น เพราะ คนในรุ่นแรกไม่เชื่อและไม่เคยทำมาก่อน  คนในรุ่นต่อมาจึงไม่ทำ

ในส่วนของคำตอบตรงนี้  ผมขออธิบายว่า ถึงแม้อยากจะทำ ก็ไม่มีทางทำได้ เพราะ

1- วิธีการทำอย่างไร ตรงนี้ไม่มีใครมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง ยกเว้นคุณลุงการุณย์ บุญมานุช ซึ่งทำมานานแล้ว ปรับปรุงมานานแล้ว

2- ถึงแม้จะรู้วิธีการ  แต่ “ทำ” ได้หรือไม่ ยังมีปัญหาขึ้นมาอีกคือ ตนเองมีศักยภาพที่จะทำได้หรือไม่

ตรงนี้ ขอยกตัวอย่างการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ (Asian Games INCHEON 2014) ที่เกาหลี ที่ผ่านมาเป็นตัวอย่าง  ขอยกตัวอย่างกีฬาเซปักตะกร้อก็แล้วกัน

เราจะเห็นว่า ตัวฟาดนั้น ลอยตัวขึ้นไปอย่างไร ทำการฟาดตะกร้อไปซ้าย ไปขวาอย่างไร เวลาดูจากโทรทัศน์มีการทำภาพช้าให้เห็นชัดๆ

ถามจริง  คนดูอย่างเราสามารถทำตามได้หรือไม่

บุคลากรของวัดสระเกศ วัดปากน้ำในปัจจุบันนี้  วิธีการก็ไม่รู้  ศักยภาพก็ทำไม่ได้ แถมไม่เชื่อเรื่องนี้เข้าไปอีก  จึงไม่มีการถวายอาหารพระพุทธเจ้า ณ ที่ 2 แห่งนั้น

คนที่เชื่อคือ แม่ชีจันท์ ขนนกยูง กับ คุณลุงการุณย์ บุญมานุช  จึงทำต่อมา แต่ผลของการทำนั้น ต่างกันแบบ “นิพพาน” กับ “เซฟ” เลยทีเดียว

กล่าวคือ ไปสุดฝ่ายหนึ่งของความดี กับสุดอีกฝ่ายหนึ่งของความเลวเลยทีเดียว

กล่าวคือ แม่ชีจันท์ ขนนกยูง ทำพิธีถวายอาหารดังกล่าวจึงส่งผลให้ท่านต้อง “ตกเซฟ”  ดังนั้น เมื่อสมีธัมมชโยทำตามมา ผลก็คือ ต้อง “ตกเซฟ” เช่นเดียวกัน

ส่วนการถวายอาหารพระพุทธเจ้าของคุณลุงการุณย์ บุญมานุชนั้น  อยู่ในการควบคุมของหลวงพ่อวัดปากน้ำ คุณลุงมีบารมีจากการปราบมาร ซึ่งหลวงพ่อก็เป็นผู้ควบคุมอีกนั่นแหละ

ผลบุญบารมีอันมหาศาลดังกล่าว จึงสามารถส่งผลในผู้ที่เข้าไปร่วมพิธี  มีจุดหมายปลายทางคือ อายตนะนิพพานแน่ๆ ด้วยระยะเวลาของการบำเพ็ญบารมีที่สั้นลง

ตรงนี้ ต้องกล่าวถึงการทำการถวายอาหารพระพุทธเจ้าของ แม่ชีทองสุก สำแดงปั้น กันสักเล็กน้อย

คุณลุงเขียนไว้ในบันทึกปราบมารของคุณลุงว่า เมื่อปราบมารมาได้ 10 ปี แล้ว  วันหนึ่งคุณลุงคิดย้อนไปถึงตอนถวายอาหารทะเลกับแม่ชีทองสุก  ลุงอยากจะรู้ว่า ได้บุญบารมีเท่าไหร่

ปรากฏว่า ไม่ได้บุญบารมีแม้แต่นิดเดียว  กลับจะได้บาปเสียด้วย เพราะ มารมันมาเอาอาหารที่กลั่นแล้ว ไปกินเรียบวุธ

จึงขอสรุปสุดท้าย ณ ที่นี้ว่า 

ตอนนี้ มีกลุ่มที่ทำพิธีถวายเครื่องไทยทานให้กับพระพุทธเจ้าอยู่ 2 กลุ่มคือ สมีธัมมชโยกับคุณลุงการุณย์ บุญมานุช ภายใต้การกำกับดูแลของหลวงพ่อวัดปากน้ำ

การถวายอาหารพระพุทธเจ้าของสมีธัมมชโย ทำเพื่อหลอกลวงเอาเงินประชาชนเท่านั้น  สมีธัมมชโยไม่รู้แม้กระทั่งวิธีการ 

มันก็หลับตาทำปากขมุบขมิบไปแค่นั้น  เหล่าบรรดาหัวหน้ามาร เสนามาร ฯลฯ ซึ่งเป็นภาคดำทั้งนั้น ก็มากินอาหารดังกล่าว

ผลสุดท้ายของผู้ที่เข้าไปร่วมในพิธีกรรมดังกล่าวก็คือ ดวงบาปโตขึ้น ใหญ่ขึ้น

สำหรับการถวายอาหารพระพุทธเจ้าของคุณลุงการุณย์ บุญมานุช ภายใต้การกำกับดูแลของหลวงพ่อวัดปากน้ำ และบารมีจากการปราบมารของคุณลุงเอง

ผู้ที่เข้าไปร่วมในพิธีจึงมีดวงบุญใหญ่ขึ้น สว่างขึ้น .......... สามารถทำให้บารมี 30 ทัศเต็มเร็วมากขึ้น การบรรลุมรรคผลนิพพานจึงมีระยะเวลาสั้นลง

ใครจะเลือกไปทางไหน ก็ตามที่ความสมัครใจของท่าน...






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น