ในการตอบปัญหาเรื่อง การถวายเครื่องไทยธรรมให้กับพระพุทธเจ้า ตามที่มีผู้ถามในการอบรมพระประจำปีของวัดหลวงพ่อสดฯ นั้น หลวงป๋าแบ่งคำตอบออกเป็น 3 ประเด็นหลัก
ผมได้อธิบายโต้แย้งไปแล้วครบทั้ง
3 ประเด็น บทความนี้ จะกล่าวถึงข้อสรุปคำตอบของหลวงป๋า
หลวงป๋าได้สรุปคำตอบไว้
5 ประการ ดังนี้
แต่ถ้าใครอยากทำ
ก็ไม่มีใครเขาห้าม และก็เป็นความดีส่วนหนึ่ง เพียงแต่ความจริงมีอยู่ว่า
1-
ไม่ถึงพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานที่แท้จริง
|
ความรู้ของที่หลวงป๋าที่นำมาเป็นหลักฐานสนับสนุนว่า
“เครื่องไทยทานไม่ถึงพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานที่แท้จริง”
นั้น ไม่ได้ใช้จากวิชาธรรมกายเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมาก
เพราะ
หนังสือคู่มือสมภาร, มรรคผล 1, รวมถึงมรรคผล 2 หลวงป๋าเป็นผู้ริเริ่มและเป็นตัวตั้งตัวตีในการรวบรวมและจัดพิมพ์ขึ้นมา
นั่นก็แสดงว่า
“หลวงป๋าไม่เข้าใจวิชาธรรมกายชั้นสูง”
จึงไม่ได้เอามาใช้มาเป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้
หลวงป๋าอ้างแต่เพียงว่า
ในอายตนะนิพพานเป็น “อสังขตธาตุ-อสังขตธรรม” ส่วนในภพ
3 นี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็น “สังขตธาตุ-สังขตธรรม”
ของในภพ
3 จึงไม่สามารถเข้าไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้
ตรงนี้
หลวงป๋าทิ้งความจริงพื้นฐานไปว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในอายตนะนิพพานนั้น
เป็นของจากภพ 3 ทั้งสิ้น”
ดังนั้น
ของในภพ 3 จึงสามารถเข้าไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้ แต่ต้องเปลี่ยนสภาพไป คือ
ละเอียดมากขึ้น จนปัจจัยปรุงแต่งไม่มี
ขอยกตัวอย่างง่ายๆ
จากสิ่งที่เราเคยพบเคยเห็นกันเป็นประจำ คือ วัฏจักรของน้ำ ตามภาพด้านบน
ถ้าเราถามนักเรียนว่า
น้ำตามลำคลอง หนอง บึง ทะเลต่างๆ นั้น สามารถจะลอยไปอยู่บนฟ้าได้หรือไม่?
ตรงนี้เพื่อให้คำตอบตรงกัน
เราต้องไปถามเด็กเล็กๆ หน่อย ซึ่งยังไม่รู้เรื่องการระเหยของน้ำจนเป็นเมฆ
เด็กทุกคนจะตอบว่า
“ไม่ได้” ก็น้ำมีน้ำหนัก
ที่ต้องใส่ภาชนะถึงจะอยู่ได้ อยู่ดีๆ น้ำจะไปอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างไร
เราอาจจะสาธิตง่ายๆ
ก็คือ สาดน้ำขึ้นไปบนอากาศให้เห็นกันจะจะ น้ำก็จะตกลงมาทุกครั้ง ไม่มีน้ำในส่วนไหนที่จะลอยอยู่บนอากาศได้
แต่ในความเป็นจริงเรารู้ว่า
น้ำสามารถอยู่บนฟ้าได้ เมื่อเปลี่ยนสภาพเป็น “ไอ”
แล้ว
กรณีของ
“สิ่ง” ที่อยู่ในอายตนะนิพพานก็เช่นเดียวกัน ก็คือ “สิ่ง” ในภพ 3 นี่แหละ ดังนั้น “สิ่ง” ที่อยู่ในภพ 3
ต้องขึ้นไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้ โดยต้องมีการเปลี่ยนสภาพจาก
“สังขตธาตุ-สังขตธรรม” เป็น “อสังขตธาตุ-อสังขตธรรม”
การที่หลวงป๋าปฏิเสธอย่างเดียวว่า
ของในภพ 3 ไม่มีทางขึ้นไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้ เพราะประเด็นเรื่อง “สังขตธาตุ-สังขตธรรม” “อสังขตธาตุ-อสังขตธรรม” อย่างที่กล่าวไปแล้ว
จึงเป็นการปฏิเสธที่ละเลย “สาระสำคัญ” เป็นอย่างยิ่ง
ตรงนี้
ต้องขอบอกก่อนว่า การตอบปัญหาดังกล่าว หลวงป๋าเน้นไปที่ “มีคนทำวิชากลั่นเครื่องไทยทาน”
เท่านั้น
เพราะหลวงป๋ายอมรับว่า
บุญ-บารมีที่กลั่นตัวจนแก่กล้าแล้ว
สามารถขึ้นไปหล่อเลี้ยงกายธรรมในอายตนะนิพพานได้
ดังข้อความนี้
จึงขอเจริญพรเพื่อทราบว่า
สิ่งที่หล่อเลี้ยงธรรมกายจากสุดหยาบไปจนถึงพระนิพพานที่สุดละเอียดในอายตนะนิพพานถอดกายและอายตนะนิพพานเป็นนั้น
มิใช่เครื่องไทยทานอันเป็นอามิสทานของหยาบ
ซึ่งจัดเป็นสังขารธรรม (สังขตธาตุ สังขตธรรม) แต่ประการใด
หากแต่เป็น
“บุญ” ซึ่งได้กลั่นตัวจนแก่กล้าแล้ว เป็นบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี รัศมี กำลัง
ฤทธิ์ อำนาจ (ในการปกครองธาตุธรรม) สิทธิ สิทธิเฉียบขาด ฯลฯ
|
จะเห็นว่า
หลวงป๋าละเลยสาระสำคัญไปจริง อาจจะเป็นเพราะว่า “ความไม่เชื่อ”
ว่าจะมีใครทำวิชาธรรมกายในระดับกลั่นอาหารไปถวายพระพุทธเจ้าได้
มาบดบังวิจารณญาณไปเสียหมด
ก็บุญบารมีต่างๆ
นั้น เราต้องสร้างในโลกมนุษย์นี้เท่านั้น โลกมนุษย์นี้หยาบกว่าสวรรค์ รูปพรหม
อรูปพรหมเสียอีก
ประการสำคัญสุดๆ
ก็คือ เรื่องกายของเราเองนี่แหละ พระนิพพานในอายตนะนิพพานนั้น
ก็เป็นวิวัฒนาการไปจากกายเนื้อของเราทั้งนั้น
การเข้าใจผิดที่น่ากลัวมาก
สำหรับหลวงป๋าก็คือ หลวงป๋าบอกว่า
กายมนุษย์ทั้งหมดเป็นสังขตธาตุ-สังขตธรรม
จึงไม่สามารถกลั่นเครื่องไทยทานให้ไปถึงอายตนะนิพานได้
เพราะ
ตำราของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่หลวงป๋าเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดพิมพ์ขึ้นมาเองนั้น
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องสิทธิและอำนาจในหนังสือมรรคผลพิสดาร 2
ยืนยันไว้อย่างชัดเจนว่า ในการทำวิชาปราบมารนั้น เมื่อมีคนทำวิชา
ธาตุธรรมทั้งหมดก็จะมาซ้อนอยู่ในกายมนุษย์พิเศษของบุคคลคนนั้น แล้วก็ปราบมารไป
ดังนั้น
ในการทำวิชาธรรมกายชั้นสูงนั้น
ไม่มีใครคนไหนทำด้วยตัวคนเดียวแบบโดดเดี่ยว
แต่จะมีธาตุธรรมมาซ้อนในกายทุกครั้ง
ด้วยเหตุนี้เอง
ผมจึงสามารถฟันธงได้ว่า “หลวงป๋าไม่เข้าใจวิชาธรรมกายชั้นสูง”
คำตอบสรุปข้อที่
2
2-
ไม่ใช่จะได้บุญใหญ่มหาศาลเช่นนั้น
|
การที่หลวงป๋ายืนยันว่า
การถวายเครื่องไทยทานให้กับพระพุทธเจ้าได้บุญธรรมดา
ไม่ยิ่งใหญ่อะไรอย่างที่วัดพระธรรมกายโฆษณาชวนเชื่อออกมา เพราะ หลวงป๋าเชื่อว่า
ไม่มีใครทำวิชาถวายอาหารให้พระพุทธเจ้าได้
อย่างไรหลวงป๋าเชื่อเรื่องการได้บุญมหาศาลแบบทันตาเห็นจากการทำบุญกับพระพุทธเจ้าและพระอรหัตน์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ดังข้อความด้านล่างนี้
มีปรากฏหลักฐานเอกสารในที่มากแห่ง
ในพระไตรปิฎกว่า บุคคลผู้ทำบุญด้วยใจศรัทธากับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพผู้มีอาสวะกิเลสสิ้นแล้ว
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ท่านเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ
นั้น ได้รับผลบุญในปัจจุบันทันตาเห็นมากมาย
|
ดังนั้น
ถ้ามีหลักฐานยืนยันได้ว่า มีคนสามารถทำวิชาถวายอาหารพระพุทธเจ้าได้จริง ก็ต้องได้บุญบารมีมหาศาลจริง
ในกรณีของคุณลุงการุณย์
บุญมานุชนั้น ธาตุธรรมท่านใช้ให้ “ปราบมาร”
โดยให้ลุงเป็นฐานทัพ เมื่อไหร่คุณลุงการุณย์เดินวิชา
ธาตุธรรมทั้งหมดก็จะมาซ้อนอยู่ในกายของคุณลุง แล้วช่วยกันปราบมาร
ทั้งหมดทั้งปวงนี้
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างนิพพานกับภพสามนั้น ควบคุมดูแลอยู่ตลอด
ด้วยบารมีดังกล่าว
คุณลุงการุณย์จึงสามารถกลั่นอาหาร
กลั่นจีวรไปถวายธาตุธรรม หรือพระนิพพานในอายตนะนิพพานได้
อย่างไรก็ดี การถวายอาหารของคุณลุงการุณย์นั้น
เป็นกรณียกเว้น ไม่มีใครทำได้อีกแล้ว
คำตอบสรุปข้อที่
3
3-
ถ้าทำไปเพราะหลงเข้าใจผิดจะได้ “โมหะ” เป็นบาปอกุศลแถมติดตัวติดใจไปด้วยตามส่วน
|
คำตอบสรุปข้อนี้ของหลวงป๋า
คงจะมุ่งไปที่การกระทำของสมีธัมมชโยโดยเฉพาะ
การถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้านั้น พุทธศาสนิกชนทำกันทั่วประเทศไทยนะครับ
ที่เราเรียกว่า “ถวายข้าวพระพุทธ”
นั่นแหละ
ในการทำบุญทุกครั้ง
จะต้องมีการถวายข้าวพระพุทธทุกครั้ง หลวงป๋าก็ยืนยันไปแล้วว่า
ได้บุญคล้ายกับการระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ดังข้อความนี้
อานิสงส์ของผู้ไปร่วมถวายเครื่องไทยทานแด่พระพุทธเจ้าเช่นนั้น
มีคล้ายๆ
กับการถวายข้าวพระพุทธหรือบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ธูปเทียนธรรมดา
ในฐานะของผู้ที่ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าโดยทั่วไป
|
คำตอบสรุปข้อที่
4-5
4-
ใจ “หยุด” ใจ “นิ่ง” ที่ตรงศูนย์กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของกาย ทุกกาย
สุดหยาบสุดละเอียด ซึ่งตรงกับศูนย์กลางของพระนิพพาน และอายตนะนิพพานนั้นแหละที่เป็นบุญใหญ่
กุศลใหญ่จริงๆ
5-
การทำมรรคให้เจริญ และทำนิโรธให้แจ้งอยู่เสมอ (เท่าที่จะทำได้) นั้นแหละ ที่ดับ
“สมุทัย” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อวิชชา
ซึ่งเป็นเหตุแห่งสังขาร-วิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ-ชรา-มรณะ-ทุกข์ได้จริง
และจะสามารถเข้าถึงธาตุล้วน
ธรรมล้วน (อสังขตธาตุ อสังขตธรรม)
ของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมที่บริสุทธิ์ที่สุดได้ และให้สามารถรู้ว่าอะไรคือ
ของปลอมของจริงตามที่เป็นจริงได้แล
|
คำตอบสรุปในข้อ
4-5 นี้ ผมคิดว่า
หลวงป๋าคงจะพยายามเตือนว่า อย่าไปหลงเชื่อเรื่องการถวายเครื่องไทยทาน หรือถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้า
เนื้อหาคำตอบของข้อ
4-5 นั้น “ถูกต้อง”
ตามหลักทฤษฎีจริง แต่ในทางปฏิบัตินั้น
ถ้ามีการถวายอาหารที่ถึงพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพานจริง
เราก็ควรจะไปร่วมพิธีดังกล่าวด้วย
จะไม่ดีกว่าหรือ….
ตามหลักการนั้น
ไม่มีใครที่ “ไม่เคยทำทาน”, “ไม่เคยรักษาศีล” อยู่ดีๆ
ก็มาปฏิบัติธรรมเลย ทุกคนจะต้องเริ่มมาจาก
“ทาน”, “ศีล” แล้วจึงมา “ภาวนา” ได้
ดังนั้น
การทำวิชาเราก็ทำไป ทำให้ใจหยุด ใจนิ่งก็ทำไป
เมื่อมีโอกาสที่จะถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้า เราก็ควรจะไป
ในการถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้านั้น ในระหว่างที่ลุงกำลังทำวิชาอยู่นั้น
ผู้ไปร่วมพิธีทุกคนก็ต้องทำวิชา 18 กายไปด้วย
การถวายอาหารให้กับพระพุทธเจ้าจึงเป็นการสร้างบารมีที่ครบถ้วนจริง
และสามารถสร้างบารมีให้ครบ 30
ทัศภายในชาตินี้ได้
ชาติต่อไปของเราก็คือ
พระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าเลย
ไม่ต้องลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีอีกแล้ว เพราะ บารมีเต็มแล้ว